นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้มีมติเห็นชอบให้ยุติบทบาทของคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินการในระยะต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ได้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณารับทราบผลการดำเนินการของคณะกรรมการขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment (คณะกรรมการฯ) โดยผลการดำเนินการที่ผ่านมา สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์และได้รับการยอมรับในระดับสากล พร้อมทั้งขอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบให้ยุติบทบาทของคณะกรรมการฯ เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถผลักดันและพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศไทยภายใต้กรอบภารกิจของตนเองให้เข้าสู่ระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างครบวงจรจึงไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยการขับเคลื่อนในรูปแบบของคณะกรรมการอีกต่อไป
สำหรับความคืบหน้าโครงการต่างๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ประกอบด้วย โครงการที่ 1 ระบบการชำระเงินแบบ Any ID และโครงการที่ 2 การขยายการใช้บัตร โดยปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ทุกประเภทแล้ว จำนวน 46.5 ล้านราย และมีปริมาณธุรกรรมทั้งสิ้น 1.1 พันล้านรายการ คิดเป็นมูลค่าธุรกรรมทั้งสิ้น 5.8 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2561) และได้มีการติดตั้งอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (เครื่อง Electronic Data Capture : EDC) แล้วทั้งสิ้นจำนวน 768,103 เครื่อง
การดำเนินการในระยะต่อไป ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ระบบการชำระเงินฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2562 – 2564) โดยมุ่งส่งเสริมให้ Digital Payment เป็นทางเลือกหลักในการชำระเงินและสร้าง Ecosystem ที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม และตอบโจทย์ความต้องการของทุกภาคส่วน
โครงการที่ 3 ระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ทางกรมสรรพากรได้ดำเนินการคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาผ่านพร้อมเพย์แล้ว ในปีภาษี 2560 และมีการจัดทำระบบ e-Tax Invoice และ e-Receipt ซึ่งได้เปิดให้บริการแล้วในปี 2560 นอกจากนี้ ยังได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรเพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้วเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2561
การดำเนินการในระยะต่อไป กรมสรรพากรจะดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เสียภาษีเพื่อการบริการที่ดีและการแนะนำการเสียภาษีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
โครงการที่ 4 e-Payment ภาครัฐ ประกอบด้วย 2 โครงการย่อย ดังนี้ โครงการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม ปัจจุบันมีผู้มีสิทธิที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวนทั้งสิ้น 14.5 ล้านราย นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการจ่ายเงินสวัสดิการสังคมด้วยพร้อมเพย์ จำนวน 6 สวัสดิการ ประกอบด้วย (1) เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด (2) เงินช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (3) เบี้ยความพิการ (4) เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ (5) เงินเดือนทหารกองประจำการ และ (6) ค่าป่วยการอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2562) และจะขยายไปยังสวัสดิการอื่นๆ ต่อไป
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้หน่วยงานราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 7,200 หน่วยงาน ใช้บริการด้านการจ่ายเงิน การรับเงินและการนำเงินส่งคลัง ผ่านระบบ Internet Banking ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (ระบบ KTB Corporate Online สำหรับภาครัฐ)
การดำเนินการในระยะต่อไป กรมบัญชีกลางจะผลักดันให้เกิดการขยายการใช้บัตรอย่างครบวงจรและการขยายฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ โดยบูรณาการข้อมูลกับกระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์และประเมินผลการจัดสวัสดิการ นอกจากนี้ จะเร่งรัดให้ทุกหน่วยงานใช้งานระบบ e-Payment ทั้งการชำระและรับชำระเงินผ่านช่องทาง KTB Corporate Online เครื่อง EDC และ QR Code ให้เต็มประสิทธิภาพ
ส่วนโครงการที่ 5 การให้ความรู้และส่งเสริมการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมประชาสัมพันธ์ ธปท. สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คณะผู้บริหารการคลังประจำจังหวัด เป็นต้น ในการจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้และประชาสัมพันธ์โครงการต่าง ๆ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ National e-Payment นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดทำโครงการแจกโชคจากการใช้บัตรเดบิต เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนชำระเงินโดยใช้บัตรเดบิตหรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐผ่านเครื่อง EDC มากขึ้น โดยได้มีการจ่ายเงินรางวัลไปแล้วทั้งสิ้น 69.9 ล้านบาท ให้กับผู้ได้รับรางวัล จำนวน 8,872 ราย ทั้งนี้ จากการดำเนินโครงการดังกล่าวส่งผลให้ปริมาณบัตรเดบิตเพิ่มขึ้นเป็น 62 ล้านใบ ปริมาณธุรกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตและมูลค่าการใช้บัตรในช่วงที่ดำเนินโครงการอยู่ที่ 80.2 ล้านรายการ และ 148,975 ล้านบาท ตามลำดับ
การดำเนินการในระยะต่อไป กรมสรรพากรและกรมบัญชีกลางจะดำเนินการตามแผนประชาสัมพันธ์โครงการ National e-Payment ประจำปี พ.ศ. 2562 โดยแผนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์การปรับปรุงรูปแบบการให้บริการของภาครัฐที่เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) มากขึ้น และสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีที่ถูกต้องแก่ประชาชน หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน รวมทั้งสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของระบบธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนให้ใช้ระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ของภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากความสำเร็จในการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ทั้ง 5 โครงการข้างต้น ได้เป็นจุดเริ่มต้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถผลักดันและพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศไทยภายใต้กรอบภารกิจของตนเองให้เข้าสู่ระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างครบวงจร