นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ยืนยันว่าในการทำงานของรัฐบาลตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้ทำนโยบายต่างๆ ในการลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการบ้านล้านหลัง การดูแลภาระหนี้เกษตรกร การดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งรัฐบาลนี้ได้ริเริ่มขึ้นมาทั้งนั้น ในขณะที่บางฝ่ายดีแต่พูด ส่วนการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศ รัฐบาลชุดนี้ก็ริเริ่มโครงการสตาร์ทอัพ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โครงการรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง ซึ่งเหตุที่รัฐบาลต้องทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ต่างชาติรับรู้ว่าไทยมีการพัฒนาไปมากแล้ว เพราะในเมื่อเรารู้ว่าเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ไม่ดี ดังนั้นเราจึงต้องทำตัวเองให้โดดเด่นขึ้น เพื่อเป็นสิ่งดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
"เราต้องเข้มแข็งเพียงพอที่จะทำให้เราโดดเด่นขึ้นมา เราต้องการความช่วยเหลือจากทั้งรัฐวิสาหกิจ ทั้งภาครัฐ และเอกชนเพื่อให้สามารถคว้าโอกาสนี้มาให้ได้ และปีนี้เราเป็นประธานอาเซียน อยู่ในฐานะที่จะทำให้ประเทศโดดเด่นขึ้นมาได้ในภูมิภาคนี้...รัฐบาลขับเคลื่อนมา 4 ปีเต็มทำได้ขนาดนี้ ถ้ามองไปข้างหน้ายังมีอีกสารพัดอย่างที่ต้องทำ ข้างหน้าความเหลื่อมล้ำยังไม่จบ ยังมีอีกมาก คนที่บอกว่ารัฐบาลนี้สร้างความเหลื่อมล้ำ คนพูดมีสมองหรือเปล่า มีตาไหม คิดแต่ว่าพูดอย่างเดียวแล้วได้คะแนนเสียง มันน่าอับอาย" นายสมคิดกล่าว
พร้อมระบุว่า ในช่วงรอยต่อที่เหลือก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาจากนี้อีกอย่างน้อย 2-3 เดือนนั้น ขอให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญให้แก่ประเทศ เพราะช่วงนี้การส่งออกยังไม่ค่อยดี ในขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนยังชะลอเพราะรอดูความชัดเจนจากนโยบายรัฐบาลชุดใหม่
"ที่ผมห่วง คือห่วงว่าจะต้องอยู่นานกว่า 2 เดือน ถ้า 3 เดือนจะทำอย่างไร พวกท่าน (รัฐวิสาหกิจ) ต้องเร่งไขลาน เพราะการส่งออกก็ไม่ค่อยดี การลงทุนเอกชนก็ยังไม่แน่นอน พวกท่านคือกำลังสำคัญของรัฐบาล ทั้ง ปตท. การบินไทย รฟม. การรถไฟ...ถ้าผมไปแล้วไม่กลับมา พวกท่านก็ต้องสืบทอดเจตนารมย์ เดินต่ออย่างเข้มแข็ง นักการเมืองก็มีทั้งดี และไม่ดี แต่เราจะต้องเป็นเสาหลักให้บ้านเมืองให้ได้" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว