(เพิ่มเติม) "สมคิด" ขอรัฐวิสาหกิจเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจทดแทนภาคส่งออกในช่วงรอยต่อรอนโยบายรัฐบาลใหม่

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 13, 2019 16:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ยืนยันว่าในการทำงานของรัฐบาลตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้ทำนโยบายต่างๆ ในการลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการบ้านล้านหลัง การดูแลภาระหนี้เกษตรกร การดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งรัฐบาลนี้ได้ริเริ่มขึ้นมาทั้งนั้น ในขณะที่บางฝ่ายดีแต่พูด ส่วนการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับประเทศ รัฐบาลชุดนี้ก็ริเริ่มโครงการสตาร์ทอัพ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) โครงการรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง ซึ่งเหตุที่รัฐบาลต้องทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ต่างชาติรับรู้ว่าไทยมีการพัฒนาไปมากแล้ว เพราะในเมื่อเรารู้ว่าเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ไม่ดี ดังนั้นเราจึงต้องทำตัวเองให้โดดเด่นขึ้น เพื่อเป็นสิ่งดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น

"เราต้องเข้มแข็งเพียงพอที่จะทำให้เราโดดเด่นขึ้นมา เราต้องการความช่วยเหลือจากทั้งรัฐวิสาหกิจ ทั้งภาครัฐ และเอกชนเพื่อให้สามารถคว้าโอกาสนี้มาให้ได้ และปีนี้เราเป็นประธานอาเซียน อยู่ในฐานะที่จะทำให้ประเทศโดดเด่นขึ้นมาได้ในภูมิภาคนี้...รัฐบาลขับเคลื่อนมา 4 ปีเต็มทำได้ขนาดนี้ ถ้ามองไปข้างหน้ายังมีอีกสารพัดอย่างที่ต้องทำ ข้างหน้าความเหลื่อมล้ำยังไม่จบ ยังมีอีกมาก คนที่บอกว่ารัฐบาลนี้สร้างความเหลื่อมล้ำ คนพูดมีสมองหรือเปล่า มีตาไหม คิดแต่ว่าพูดอย่างเดียวแล้วได้คะแนนเสียง มันน่าอับอาย" นายสมคิดกล่าวในงานสัมมนาผู้บริหารสูงสุดรัฐวิสาหกิจ หรือ SOE CEO Forum

พร้อมระบุว่า ในช่วงรอยต่อที่เหลือก่อนที่จะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาจากนี้อีกอย่างน้อย 2-3 เดือนนั้น ขอให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญให้แก่ประเทศ เพราะช่วงนี้การส่งออกยังไม่ค่อยดี ในขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนยังชะลอเพราะรอดูความชัดเจนจากนโยบายรัฐบาลชุดใหม่

"ที่ผมห่วง คือห่วงว่าจะต้องอยู่นานกว่า 2 เดือน ถ้า 3 เดือนจะทำอย่างไร พวกท่าน (รัฐวิสาหกิจ) ต้องเร่งไขลาน เพราะการส่งออกก็ไม่ค่อยดี การลงทุนเอกชนก็ยังไม่แน่นอน พวกท่านคือกำลังสำคัญของรัฐบาล ทั้ง ปตท. การบินไทย รฟม. การรถไฟ...ถ้าผมไปแล้วไม่กลับมา พวกท่านก็ต้องสืบทอดเจตนารมย์ เดินต่ออย่างเข้มแข็ง นักการเมืองก็มีทั้งดี และไม่ดี แต่เราจะต้องเป็นเสาหลักให้บ้านเมืองให้ได้" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว

นายสมคิด ยังกล่าวถึงความสำคัญของรัฐวิสาหกิจในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยระหว่างปี 2558 - 2561 อัตราการเติบโตของ GDP ขยายตัวอย่างต่อเนื่องมากจนทำให้ปี 2561 ประเทศไทยมี GDP เท่ากับ 4.1% จากที่ในปี 2557 ที่ GDP เติบโตต่ำกว่า 1% ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนและการดำเนินโครงการที่สำคัญตามนโยบายรัฐบาลของรัฐวิสากิจ

ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้รัฐวิสาหกิจยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนงานต่างๆ ตามยุทธศาสตร์ชาติ ดังนี้ 1. สานต่อการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานการลงทุนใน EEC และการพัฒนาการให้บริการแก่ประชาชนตามภารกิจ 2. เร่งรัดสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้สามารถสนับสนุนการดำเนินการตามภารกิจ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการสาธารณะแก่ประชาชนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งลงทุนและพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจให้เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน

3. เร่งการพัฒนาการบริหารจัดการโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมให้มากขึ้น และให้มีการใช้ข้อมูลที่มีร่วมกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ แก่ประชาชน 4. ร่วมมือกันให้มากขึ้นในการพัฒนาการทำงาน ลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อน มีการแบ่งปันความรู้และทรัพยากร และสร้างนวัตกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้กลุ่มรัฐวิสาหกิจมีความเข้มแข็งมากขึ้นในการพัฒนาประเทศ และ 5. ขอให้รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพพิจารณาสนับสนุนวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) ที่เกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้สามารถต่อยอดในการพัฒนางานต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจ

ด้านนายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในการสัมมนา SOE CEO Forum ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสื่อสารให้ CEO ของรัฐวิสาหกิจรับทราบสถานการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน และเตรียมความพร้อมต่อความท้าทายปัจจุบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจเสนอแนะและให้ความเห็นต่อการพัฒนาประสิทธิภาพ ของรัฐวิสาหกิจ โดยที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจถือเป็นกลไกหลักในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการลงทุน การดำเนินนโยบายรัฐบาล และการนำส่งรายได้แผ่นดิน รวมทั้งมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยในปี 2560 รัฐวิสาหกิจมีสินทรัพย์รวมจำนวน 15 ล้านล้านบาท เติบโต 25% จากปี 2556 และมีผลประกอบการที่ดีขึ้น โดยมีกำไรสุทธิจำนวน 4 แสนล้านบาท เติบโต 21% ทำให้รัฐวิสาหกิจสามารถนำส่งรายได้แผ่นดินสูงถึง 1.6 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23% จากปี 2556

นอกจากนี้ รัฐวิสาหกิจยังเป็นส่วนสำคัญของการลงทุนภาครัฐ โดยในปี 2561 รัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายงบลงทุน 3.8 แสนล้านบาท เติบโต 70% จากปี 2556 อีกทั้งรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินโครงการที่สำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งและความเชื่อมั่นให้แก่เศรษฐกิจของประเทศด้วย เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, การดำเนินโครงการลงทุนที่สำคัญใน EEC, การสนับสนุนการท่องเที่ยวของประเทศ และการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ในปี 2562 มีความท้าทายต่อการดำเนินการของรัฐวิสาหกิจ อาทิ เรื่องความไม่แน่นอนทางการเมือง สงครามทางการค้า รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของประชาชน ซึ่งนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ได้ฝากให้รัฐวิสาหกิจร่วมมือกันและเตรียมความพร้อมต่อความท้าทายต่างๆ โดยให้ใช้ Technology และ Big Data ให้มากขึ้น เพื่อให้ยังคงเป็นกำลังสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติต่อไปได้ และให้ สคร. สนับสนุนการทำงานของรัฐวิสาหกิจในเชิงรุกอย่างเต็มที่ในฐานะ Active Partner


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ