นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐกิจและการเมือง กล่าวในงาน CorporateDay หัวข้อ"การเมืองและเศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้ง"ว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีปัจจัยท้าทายหลายด้าน โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศที่แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูงและมีความเปราะบางว่าจะเป็นทิศทางขาลง ซึ่งส่งผลโดยตรงกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนถึง 70-80% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP)
แต่สิ่งที่จะเข้ามาช่วยภายหลังการเลือกตั้งคือรัฐบาลชุดใหม่ต้องเร่งการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็คต์) เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของเอกชนให้มีการขยายลงทุนตามมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ท่ามกลางภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม นายสมชาย เชื่อว่า GDP ของไทยปีนี้จะเติบโตได้ต่ำกว่าปี 61 โดยคาดว่าจะขยายตัวได้อย่างมากที่สุดราว 3.5-3.7%
ดังนั้น สิ่งที่อยากฝากรัฐบาลใหม่เข้ามาดูแลในช่วงต้นการบริหาร คือในภาวะเศรษฐกิจขาลงควรกระตุ้นให้ถูกทาง โดยเฉพาะการเพิ่มกำลังซื้อในประเทศในกลุ่มฐานรากที่ควรดำเนินการควบคู่ไปกับการเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันของประเทศ เพื่อช่วยเสริมฐานเศรษฐกิจไทยให้มีความแข็งแกร่งในระยะยาว
ขณะที่ปัจจัยแวดล้อมด้านภูมิศาสตร์ของโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านเศรษฐกิจ,สังคม,การเมือง,และเทคโนโลยี รัฐบาลใหม่ต้องเตรียมความพร้อมและแนวทางบริหารเพื่อไม่ให้ปัจจัยความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของโลกกระทบกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย
"ผมเห็นว่านโยบายหาเสียงแต่ละพรรคการเมือง ส่วนใหญ่เป็นนโยบายประชานิยม ซึ่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจขาลงเช่นนี้ หากรัฐบาลใหม่ใช้นโยบายประชาชนนิยมมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศในระยะสั้นอาจเกิดการขาดเสถียรภาพได้ คิดว่าต้องระมัดระวังอย่างมาก สิ่งที่อยากฝากด้วยคือถ้ากระตุ้นกำลังซื้อ การบริโภคในประเทศแล้ว ควรทำคู่ขนานไปกับการเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันด้านต่างๆไปด้วย นับเป็นการยิงนกครั้งเดียวได้นกถึงสองตัวเลย"นายสมชาย กล่าว
https://youtu.be/KAsObggvyaU