นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันพรุ่งนี้ (20 มี.ค.) กนง.จะยังตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.75% จากหลายปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ 1.อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำไม่ถึง 1% ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบล่างของเป้าหมายเงินเฟ้อในปีนี้ที่ 1-4% จึงทำให้ไม่มีแรงกดดันที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสะกัดเงินเฟ้อ 2.แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยโลกในภาวะปัจจุบันอาจไม่ใช่ขาขึ้น ซึ่งต่างจากการตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง.ในการประชุมช่วงเดือน ธ.ค.61 ที่ขณะนั้นสถานการณ์ดอกเบี้ยโลกยังเป็นแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจน
3.สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกนี้ คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 3.5% เนื่องจากยังต้องรอดูความชัดเจนจากสงครามการค้า, กรณีอังกฤษขอถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และนักลงทุนยังรอดูความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง
4. นักธุรกิจยังต้องการให้เงินบาทอยู่ในระดับอ่อนค่าที่ใกล้เคียง 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้มีเงินไหลเข้า และเป็นสาเหตุให้เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น ไม่ส่งผลดีต่อทั้งภาคส่งออกและการท่องเที่ยวที่เป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ยังไม่มีรัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ และ 5. ในภาวะที่ใกล้การเลือกตั้ง กนง. มักจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
"รอบนี้ กนง.ก็ยังน่าจะคงดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมที่ 1.75% ไปก่อน...โอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. น่าจะไปเห็นอีกทีในช่วงครึ่งปีหลัง ในช่วงปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 โดยคาดว่าจะปรับขึ้นอีก 0.25%" นายธนวรรธน์ระบุ
สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยภายหลังจากการเลือกตั้งนั้น นายธนวรรธน์ ประเมินว่า กว่าที่จะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ น่าจะเป็นช่วงกลางปีเป็นต้นไป ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังนี้มองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ราว 4% ดีขึ้นจากครึ่งปีแรกที่คาดว่าจะเติบโตได้เพียง 3.5% เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังนี้ สถานการณ์สงครามการค้า และ Brexit เริ่มคลี่คลายและน่าจะได้เห็นความชัดเจนในระดับหนึ่งแล้ว ประกอบกับมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนงบประมาณลงไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคต่างๆ ทำให้ในภาพรวมแล้วคาดว่าทั้งปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3.8%
"เรามองว่าการเลือกตั้งไม่น่าจะมีเหตุประท้วงหรือก่อความวุ่นวาย ซึ่งจะทำให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพ ไม่มีสูญญากาศทางการเมือง และจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามาเริ่มขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ในช่วงปลาย ก.ย. หรือต้น ต.ค.62 โดยทั้งปีคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโตได้ 3.8% ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีการชุมนุม นักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมา และนักลงทุนคลายความกังวล" นายธนวรรธน์ ระบุ