นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2561 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้กองทุนประชารัฐเพื่อสวัสดิการ เศรษฐกิจ และสังคม จำนวน 37,900 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย 4 มาตรการ ได้แก่ โครงการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและน้ำประปา, โครงการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าช่วงปลายปี, โครงการบรรเทาภาระค่าเดินทางไปรักษาพยาบาลของผู้สูงอายุ และโครงการบรรเทาภาระค่าเช่าบ้านของผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังอนุมัติให้เพิ่มกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ เข้าไปอยู่ในโครงการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและน้ำประปาเพิ่มเติมด้วย จากเดิมมีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เท่านั้น เนื่องจากพบว่ายังมีประชาชน จำนวน 51,000 ราย ที่อยู่นอกพื้นที่การให้บริการของ 2 หน่วยงาน จึงไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการบรรเทาภาระฯ ดังกล่าว จึงได้เพิ่มกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือเข้าไปเพื่อให้ครอบคลุมผู้มีรายได้น้อยที่มีสิทธิ์ทั้งหมด
"ครั้งนี้เป็นเพียงการจัดสรรวงเงินให้กองทุนประชารัฐเพื่อสวัสดิการ เศรษฐกิจ และสังคม ตามกรอบวงเงินเดิม จำนวน 38,730 ล้านบาท ที่ ครม. ได้เคยอนุมัติไว้ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาเท่านั้น ไม่ใช่การอนุมัติวงเงินดำเนินการเพิ่มเติม โดยตามขั้นตอนเมื่อมีการอนุมัติวงเงิน และมีการดำเนินโครงการไปแล้ว ก็จะต้องมีการขอจัดสรรวงเงินเพื่อรองรับการดำเนินการต่อไป" นายณัฐพร กล่าว
นายณัฐพร กล่าวว่า วงเงินที่จัดสรรในครั้งนี้ จะเพียงพอรองรับการดำเนินโครงการเพื่อบรรทาภาระให้แก่ผู้มีรายได้น้อยทั้ง 4 โครงการ จนถึงเดือน ก.ย.62 ซึ่งเป็นเวลาสิ้นสุดโครงการ และหากปีหน้าจะมีการดำเนินมาตรการดังกล่าวต่ออีก ก็ต้องมาดูเพื่ออนุมัติงบประมาณเพิ่มต่อไป