"ณรงค์ชัย"แนะ ธปท.ปรับแนวบริหารทุนสำรอง-วางเป้าเงินบาทรับมือวิกฤติโลก

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 29, 2008 14:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานคณะกรรมการบริหาร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(Exim Bank) แนะให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เตรียมมาตรการรองรับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกและการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ทำให้กำลังซื้อลดลงและอัตราแลกเปลี่ยนเกิดความผันผวนจนส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศ
"ปีนี้เป็นโจทย์ใหญ่สำหรับแบงก์ชาติที่ต้องบริหารค่าเงินให้ดี" นายณรงค์ชัย กล่าว
แนวทางดังกล่าวแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การมีเงินทุนสำรองไว้สนับสนุนการซื้อพันธบัตร และการมีเงินทุนสำรองไว้ใช้ในการบริหารความเสี่ยง ดังนั้นหากดูจากเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ ธปท.มีอยู่ในขณะนี้กว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้ถูกนำไปใช้เพื่อเป็นเงินทุนสำรองกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง ธปท.ควรแบ่งไปใช้ในการบริหารความเสี่ยง 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนอีก 5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐควรนำไปลงทุนภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้
นายณรงค์ชัย กล่าวว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.75% อาจส่งผลให้เงินทุนไหลออกนอกประเทศ ซึ่ง ธปท.จำเป็นต้องดูแลไม่ให้เงินบาทปรับตัวแข็งค่าเร็วเกินไป และควรมีการกำหนดอัตราการแข็งค่าของเงินบาทที่ชัดเจน เช่น ให้ปรับตัวแข็งค่าไม่เกินปีละ 5-7% หรือ 2 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เหมือนอย่างกรณีที่ประเทศจีนกำหนดอัตราการแข็งค่าขึ้นของเงินหยวนในแต่ละปี
ส่วนการยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% นั้น นายณรงค์ชัย กล่าวว่า ขณะนี้ถือว่าเป็นเรื่องปลายเหตุไปแล้ว เนื่องจากปัญหาเงินทุนที่ไหลเข้ามาในประเทศไม่ใช่เรื่องที่ ธปท.จะดำเนินการดูแลได้เพียงหน่วยงานเดียว
นายณรงค์ชัย ยังตำหนิ ธปท.กรณีที่ออกมาระบุว่า อัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะความจริงแล้วถือว่าอัตราเงินเฟ้อในขณะนี้ยังน่าเป็นห่วง เพียงแต่สาเหตุที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อในขณะนี้มาจากต้นทุน(cost put)ไม่ได้มาจากเรื่องความต้องการ(demand) ดังนั้นหน่วยงานที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้คือ กระทรวงพาณิชย์ ที่กำกับดูแลเรื่องราคาสินค้า
สำหรับนโยบายรัฐบาลใหม่ไม่ควรจะเน้นเรื่องประชานิยม แต่น่าจะเป็นไปในลักษณะรัฐสวัสดิการ เพราะจะเป็นการจัดให้กับผู้ที่เหมาะสม ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศมากกว่า โดยหวังว่ารัฐบาลใหม่จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นของประเทศกลับมาได้ โดยเฉพาะด้านตลาดเงินตลาดทุน และต้องใช้ศักยภาพของรัฐวิสาหกิจที่มีอยู่อย่างเต็มที่ เช่น การพัฒนาด้านโลจิสติกส์ ส่วนรัฐวิสาหกิจที่ยังไม่มีประสิทธิภาพก็ควรที่จะพิจารณาแปรรูป
นายณรงค์ชัย คาดว่า ปีนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดจะมีไม่เกิน 7 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากช่วง 2 ปีก่อนที่มีกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ