นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภายในงานสัมมนา Credit Spotlight On Thailand อันดับเครดิตประเทศ และภาวะเศรษฐกิจในมุมมองสถาบันจัดอันดับ ว่า ธปท.ยังคงมองอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) ในปีนี้ที่ 3.8-3.9% หากไม่มีความวุ่นวายทางการเมือง หรือ การประท้วงตามถนนเกิดขึ้น และการส่งออกโต 3% รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนก็มีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจในเดือนก.พ.และมี.ค.62 น่าจะยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยยังต้องจับตาดูปัจจัยภายนอกประเทศ ทั้งในเรื่องของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงรอดูความชัดเจนการเรียกเก็บภาษียานยนต์และชิ้นส่วนจากผู้นำเข้าทั่วโลกของสหรัฐฯ ภายในเดือน พ.ค.นี้ หากเกิดขึ้นจริงก็จะส่งกระทบกับไทยได้
"ตอนนี้เราคงบอกอะไรไม่ได้ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล แต่เมื่อดูในเรื่องของนโยบายของแต่ละพรรคก็ไม่ได้แตกต่างกันมาก เช่น นโยบายดูแลสวัสดิการของคนรายได้น้อย และ EEC ที่ยังมีต่อเนื่อง หรืออาจมีการปรับเปลี่ยนบ้าง แต่สิ่งที่กังวลคือ ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล และมีการประท้วงกันเกิดขึ้น อาจมีผลกระทบต่อภาวะทางเศรษฐกิจ แต่หากมีการถกเถียงกันในสภาตามระบอบประชาธิปไตย ตรงนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ"
ทั้งนี้ เรื่องของการจัดอันดับเครดิต หรืออันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ หลังจากได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว มองว่า เอสแอนด์พี สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก หรือสถาบันจัดอันดับเครดิต น่าจะให้น้ำหนักกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความต่อเนื่อง และมั่นคง เช่น ปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับ 3.8% ปีหน้าเพิ่มเป็น 3.9-4.0% ไปเรื่อย ๆ ก็จะส่งผลต่อการปรับขึ้นอันดับเครดิตของไทยในอนาคต ซึ่งจะเป็นโจทย์ของรัฐบาลใหม่ที่จะต้องทำให้ได้
"เศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มจะตั้งไข่ได้ในปีที่แล้ว และได้ปรับตัวลงเล็กน้อยในปีนี้ แต่ก็ยังถือว่าทำได้ใกล้เคียงกัน ซึ่งอาจจะมีเรื่องของความผันผวนบ้าง แต่โดยรวมยังเชื่อว่าจะเติบโตไปได้"นายดอน กล่าว