ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในปี 2562 อาจทรงตัวในกรอบประมาณ 77.5-79.5% ต่อจีดีพี จากระดับ 78.6% ต่อจีดีพีในปี 2561 โดยภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงในปีนี้ เมื่อผนวกกับภาระหนี้ของครัวเรือนที่น่าจะเพิ่มขึ้นจากผลของการก่อหนี้ก้อนใหญ่ (หนี้บ้านและหนี้รถ) ที่มีผลผูกพันหลายปีนับจากวันที่ก่อหนี้ อาจมีผลทำให้ครัวเรือนหลายส่วนใช้ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นในการก่อหนี้ก้อนใหม่
สำหรับประเด็นในระยะข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สัญญาณอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่มีโอกาสทรงตัวที่ระดับ 1.75% ตลอดช่วงที่เหลือของปีอาจมีส่วนช่วยลดทอนแรงกดดันจากทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นต่อครัวเรือนที่มีภาระหนี้ลงมาบางส่วน ในขณะที่ยังต้องติดตามมาตรการด้านเศรษฐกิจภายใต้การดำเนินการของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคาดว่า น่าจะเข้ามาช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและดูแลแก้ไขปัญหาด้านรายได้-ภาระหนี้ ของครัวเรือนโดยเฉพาะครัวเรือนในกลุ่มที่มีรายได้น้อย
ทั้งนี้ ภาพรวมหนี้ครัวเรือนในปี 2561 กลับมาเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจซึ่งทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ขยับขึ้นไปที่ 78.6% ในปี 2561 จาก 78.3% ในปี 2560 โดยยอดคงหนี้ครัวเรือนของไทยเติบโตขึ้น 6.0 % สูงกว่าอัตราการเติบโตของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ (Nominal GDP) ซึ่งอยู่ที่ 5.6%
โดยในไตรมาส 4/61 หนี้ครัวเรือนของไทยขยับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 12.827 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าถึง 2.2% QoQ ต่อเนื่องจากที่ขยับขึ้น 1.5% QoQ ในไตรมาส 3/2561 โดยแม้ครัวเรือนส่วนใหญ่จะเป็นหนี้หรืออาจจะมีการใช้บริการสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อรองรับการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของแต่ละปีตามผลของปัจจัยด้านฤดูกาล มากกว่าช่วงอื่นๆ แต่คงต้องยอมรับว่า ในไตรมาส 4/61 ที่ผ่านมา มีปัจจัยเฉพาะซึ่งก็คือ การปรับเกณฑ์การกำหนดการวางเงินดาวน์สำหรับการซื้อบ้าน (มาตรการ LTV ใหม่) ที่มีผลทำให้ครัวเรือนบางกลุ่มเร่งตัดสินใจก่อหนี้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ก่อนที่มาตรการ LTV ใหม่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเม.ย. 2562
อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่ากว่าครึ่งหนึ่งของหนี้ที่ครัวเรือนรับภาระเพิ่มขึ้นนั้นก่อให้เกิดสิทธิความเป็นเจ้าของในทรัพย์สิน เช่น ซื้อบ้าน-ซื้อรถ และขยายธุรกิจ ในท้ายที่สุด ขณะที่สัดส่วนการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค (ที่ไม่มีหลักประกัน) ทั้งในส่วนหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับภาพรวมของยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนทั้งหมด