นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 62 ขยายตัวลดลงมาอยู่ที่ 3.6% จากเดิมที่ขยายตัว 3.8% รับผลกระทบจากการส่งออกไทยที่มีอัตราการเติบโตลดลงตามเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวมากกว่าคาด และมีลักษณะ synchronized slowdown มากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากสงครามการค้าและภาวะการเงินโลกตึงตัวขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีก่อน ยังส่งผลลบอย่างต่อเนื่องต่อการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.พ. 62) สัดส่วนของตลาดที่มูลค่าการส่งออกของไทยหดตัวเพิ่มขึ้นมาเป็นกว่า 70% ของตลาดส่งออกรวม ซึ่งทำให้การส่งออกของไทยใน 2 เดือนแรกหดตัวลง 3.2% ดังนั้น EIC จึงปรับลดประมาณการการขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ลงเหลือโต 2.7% จากเดิมคาดไว้ที่ 3.4%
นายยรรยง กล่าวว่า การส่งออกที่ชะลอตัวจะมีผลไปถึงการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวจากช่วงปลายปีที่แล้วสอดคล้องกับปัจจัยความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก รวมไปถึงปัจจัยการเมืองในประเทศที่รอความชัดเจน ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจ โดยการลงทุนภาคเอกชนในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวราว 3.8% จากเดิมคาดไว้ที่ 4.1%
อย่างไรก็ตาม EIC ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแรงหนุนที่สำคัญจากภาคการท่องเที่ยวที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด จึงปรับประมาณการนักท่องเที่ยวปีนี้เพิ่มขึ้นมาเป็น 40.7 ล้านคน หรือเติบโต 6.3% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 40.2 ล้านคน
รวมทั้งการลงทุนก่อสร้างโครงการต่างๆของภาครัฐซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการต่อเนื่องที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนมากถึง 7.6 แสนล้านบาทในปีนี้ หรือคิดเป็นการขยายตัวกว่า 7% ขณะที่การบริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มขยายตัวได้จากแนวโน้มการจ้างงานและค่าจ้างแรงงานที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่การบริโภคสินค้าคงทนมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า จากปัจจัยฐานสูงของการซื้อรถยนต์ในปี 61 และผลกระทบของมาตรการ macroprudential ที่ทางการทยอยออกมาเพื่อดูแลการก่อหนี้ครัวเรือนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
สำหรับทิศทางนโยบายการเงิน EIC คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อัตรา 1.75% ตลอดทั้งปี 62 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอมากกว่าที่ กนง.เคยคาด และมีความเสี่ยงด้านต่ำมากขึ้นจากความไม่แน่นอนทั้งจากภายนอกและภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยมีค่าเฉลี่ย 0.7% ในไตรมาส 1/61 ซึ่ง EIC ได้ปรับลดประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั้งปี 62 มาอยู่ที่ 0.9% ซึ่งต่ำกว่าขอบล่างของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ กนง.จะยังไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ แต่จะใช้มาตรการ macroprudential และการกำกับสถาบันการเงิน เพื่อดูแลจุดเปราะบางเฉพาะจุดที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพระบบการเงินในอนาคต โดยเฉพาะประเด็นหนี้ครัวเรือนที่ยังเร่งตัวเร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้อย่างต่อเนื่อง และการประเมินความเสี่ยงที่ต่ำเกินไปของการลงทุนทางการเงิน
ส่วนทิศทางค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นจากสิ้นปีที่แล้ว โดยคาดว่า ณ สิ้นปี 62 จะอยู่ในช่วง 31-32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวและท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ไม่ค่อยมีความกังวลการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อมากนัก ประกอบกับเสถียรภาพเศรษฐกิจด้านต่างประเทศที่เข้มแข็งของไทยสะท้อนจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีแนวโน้มเกินดุลต่อเนื่องที่ประมาณ 6.4% ต่อ GDP
นายยรรยง กล่าวว่า ความเสี่ยงที่ค่าเงินบาทอาจจะอ่อนค่าจะมาจากภาวะการเงินโลกที่กลับมาตึงตัวเร็วกว่าคาดและปัญหาเสถียรภาพการเมืองในประเทศ เป็นสำคัญ แต่ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงหลักจากความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและการเมืองในประเทศ แม้จะมีสัญญาณบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน รวมทั้งท่าทีที่ผ่อนคลาย (Dovish) มากขึ้นของธนาคารกลางหลักช่วยเพิ่มความมั่นใจของนักลงทุน และลดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกได้ในระยะสั้น
แต่เศรษฐกิจโลกยังอาจชะลอตัวได้มากกว่าคาดจากความไม่แน่นอนและ ความเปราะบางในจุดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าที่ยังจะยืดเยื้อต่อไปเนื่องจากเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างและอาจกลับมาทวีความรุนแรงได้อีก ภาวะการเงินโลกที่อาจกลับมาตึงตัวได้ ปัญหาภาระหนี้ระดับสูงในบางประเทศ เช่น หนี้ของภาคธุรกิจในจีนและสหรัฐ รวมทั้งปัญหาภายในเฉพาะประเทศ เช่น กรณี Brexit ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรและ ยูโรโซน ตลอดจนสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินโลกในช่วงข้างหน้า
ขณะที่ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองจะเป็นปัจจัยเสี่ยงในประเทศที่สำคัญ ซึ่งความไม่แน่นอนทางการเมืองยังมีอยู่สูงแม้การเลือกตั้งจะผ่านไปแล้ว รวมทั้งผลการเลือกตั้งที่กลุ่มพรรคการเมือง 2 ขั้ว ได้จำนวนสมาชิกผู้แทนราษฎรใกล้เคียงกัน ทำให้มีโอกาสสูงที่รัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลผสมที่มีเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าฝ่ายค้านไม่มากนัก ซึ่งจะมีนัยต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและประสิทธิภาพในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า โดยอาจมีผลให้เกิดการชะลอการตัดสินใจลงทุนของภาคธุรกิจและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน เพื่อรอดูความชัดเจนของพัฒนาการทางการเมืองก่อน