นายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เผยดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือน เม.ย.62 อยู่ที่ 54.39 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 1.49 จุด หรือ 2.82% จากเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาจากระดับ 52.90 จุด ปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นมาจากความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย เงินบาทอ่อนค่าหนุนราคาทองคำในประเทศ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แรงซื้อเก็งกำไร และนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐ
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 (เม.ย.-มิ.ย.) อยู่ที่ 47.79 จุด ปรับลดลง 11.53 จุด หรือ 19.44% ในไตรมาสแรกของปี 2562 จากระดับ 59.32 จุด
โดยผลสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 289 ตัวอย่าง พบว่า 42.56% ยังไม่ซื้อทองคำในช่วงเดือน เม.ย.62 ขณะที่ 32.53% ไม่แน่ใจว่าจะซื้อทองคำหรือไม่ และ 24.91% คาดว่าจะซื้อทองคำในเดือนนี้
สำหรับการคาดการณ์ราคาทองคำเดือน เม.ย.62 ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่มีมุมมองดังนี้ Gold Spot ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 1,270-1,328 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 19,150-19,850 บาท ต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ และด้านค่าเงินบาทไทย ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 31.49-32.08 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
คำแนะนำการลงทุนทองคำในเดือน เม.ย.62 ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ให้ความเห็นว่า ราคาทองคำในเดือนนี้ยังคงทรงตัว หากสามารถยืนอยู่เหนือบริเวณ 1,280-1,265 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ได้ คาดว่าราคาทองคำอาจแกว่งตัวออกด้านข้าง ทั้งนี้หากราคายังไม่สามารถผ่านแนวต้านที่บริเวณ 1,311-1,334 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ได้ อาจเกิดแรงเทขายทำกำไรในระยะสั้น
โดยปัจจัยที่นักลงทุนต้องจับตาดู ได้แก่ 1.สถานการณ์ความไม่แน่นอนกรณีอังกฤษขอถอนตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า หากอังกฤษสามารถออกจากสหภาพยุโรปแบบมีเงื่อนไขจะช่วยลดความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจอังกฤษและสหภาพยุโรป ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น และเป็นปัจจจัยบวกต่อราคาทองคำด้วยเช่นกัน
2.ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ EU กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า ประเด็นดังกล่าวตึงเครียดมากขึ้น เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ที่จะขึ้นภาษีสินค้าในประเทศที่นำเข้ายานยนต์จากยุโรป ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเยอรมนี
ทั้งนี้ แนวโน้มสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าต่างๆ ที่อาจรุนแรงและยืดเยื้อออกไปนั้น จะกระตุ้นแรงซื้อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะสร้างความกดดันต่อราคาทองคำ
3. การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า หากการเจรจาสามารถหาข้อตกลงระหว่างกันได้อาจทำให้ตลาดมีความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น จึงอาจกดดันต่อราคาทองคำได้ ทั้งนี้หากเกิดนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ จะส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น ถึงแม้การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนเป็นไปในทางที่ดี แต่มาตรการขึ้นภาษีก่อนหน้านี้ยังคงทำงานอยู่ ราคาทองคำจึงรับปัจจัยเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากตกลงกันไม่ได้ก็จะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ
4. สถานการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า เกาหลีเหนือกำลังพิจารณาระงับการเจรจาปลดอาวุธนิวเคลียร์กับสหรัฐฯ หลังการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในกรุงฮานอยที่สิ้นสุดลงแล้วโดยไม่มีการลงนามข้อตกลงใดๆ ประกอบกับเกาหลีเหนือกลับมมาบูรณะฐานยิงจรวดอีกครั้ง จนสร้างความกังวลเกี่ยวกับการปล่อยจรวดติดตั้งดาวเทียม หากความวิตกจากประเด็นดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นก็จะกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยด้วยเช่นเดียวกัน