นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย - ตุรกี ครั้งที่ 5 ระหว่างวันที่ 10 - 12 เมษายน 2562 ณ กรุงอังการา สาธารณรัฐตุรกีว่า การเจรจาคืบหน้าด้วยดี โดยเฉพาะการยกร่างข้อบทความตกลงเรื่องการค้าสินค้า กระบวนการศุลกากรและการอำนวยความสะดวกทางการค้า มาตรการสุขอนามัย และกระบวนการระงับข้อพิพาททางการค้า เป็นต้น
สำหรับการยกร่างข้อบทอื่นๆ อาทิ มาตรการทางเทคนิคที่เป็นอุปสรรคทางการค้า มาตรการเยียวยาทางการค้า และกฎถิ่นกำเนิดสินค้า ได้ทำความเข้าใจแนวปฏิบัติของกันและกัน เพื่อปูทางสำหรับหารือในการประชุมครั้งต่อไปที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมปีนี้
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเรื่องรูปแบบการเปิดตลาด และแลกเปลี่ยนข้อเสนอรายการสินค้าที่จะลดและยกเลิกการเก็บภาษีระหว่างกัน รวมทั้งแจ้งรายการสินค้าที่ต้องการให้แต่ละฝ่ายเปิดตลาดมากขึ้น โดยไทยแจ้งว่าสนใจที่จะเห็นการเปิดตลาดเพิ่มขึ้นในสินค้าผัก ผลไม้ และเกษตรแปรรูป พลาสติก เคมีภัณฑ์ ยางสังเคราะห์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
นางอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก การจัดทำเอฟทีเอระหว่างไทย - ตุรกี จะเป็นกลไกสำคัญช่วยให้การค้าสองฝ่ายขยายตัวจาก 1,427 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 เป็น 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่ตั้งเป้าว่าการเจรจาน่าจะสรุปผลได้
"เอฟทีเอ จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะใช้ประโยชน์จากการเป็นประตูการค้าสู่ภูมิภาค โดยตุรกีสามารถใช้ไทยเป็นประตูการค้าไปสู่อาเซียน และประเทศสมาชิกอาร์เซ็ป (RCEP) และไทยสามารถใช้ตุรกีซึ่งตั้งอยู่จุดศูนย์กลางระหว่าง 3 ทวีป (ตะวันออกกลาง แอฟริกาและยุโรป) เป็นประตูขยายการค้าสู่ภูมิภาคเหล่านี้ได้" อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกล่าว
พร้อมระบุว่า ยังได้ใช้โอกาสนี้ พบปะหารือกับภาคเอกชนตุรกีและนักลงทุนไทยในตุรกี ทำให้ทราบว่าตลาดตุรกียังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะเป็นประเทศที่มีประชากรมากถึง 80 ล้านคน และเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการกระจายสินค้าสู่ภูมิภาคโดยรอบ โดยภาคเอกชนได้สนับสนุนการเจรจาเอฟทีเอไทย - ตุรกี และหวังว่าการเจรจาจะสามารถหาข้อสรุปได้โดยเร็ว
นอกจากนี้ จากการสำรวจตลาดยังพบว่า ตุรกีมีความต้องการทั้งสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมของไทย เนื่องจากเห็นว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ทั้งสินค้าอาหาร ผลไม้ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี ตุรกียังเรียกเก็บภาษีสูงในสินค้าเหล่านี้ จึงเชื่อมั่นว่าผลของเอฟทีเอจะช่วยให้ตุรกีเปิดตลาดให้กับสินค้าจากไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2561 ตุรกีเป็นคู่ค้าอันดับที่ 36 ของไทยในตลาดโลก และเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยมีมูลค่าการค้า 1,427.02 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่าส่งออกจากไทยไปตุรกี 1,082.22 ล้านเหรียญสหรัฐ และมูลค่านำเข้าจากตุรกี 344.80 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปตุรกี เช่น รถยนต์, อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องปรับอากาศ, เส้นใยประดิษฐ์, ยางพารา, เม็ดพลาสติก เป็นต้น และสินค้านำเข้าสำคัญจากตุรกี เช่น เคมีภัณฑ์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, เสื้อผ้าสำเร็จรูป, รถไฟ, อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น