นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงการคลังว่า จากการรับฟังสรุปสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองพบว่าช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้เศรษฐกิจยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะการเก็บภาษีอากรเติบโตเกินเป้า แต่ยอมรับว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้รายงานภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 2/62 มีสัญญาณการชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะดีขึ้น ซึ่งในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลไปจนกว่ามีรัฐบาลใหม่ไม่อยากให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากเกินไป จึงสั่งการให้กระทรวงการคลังออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทำให้เกิด High Impact ทั้งการบริโภค ท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และการช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งรวมไปถึงมาตรการภาษี โดยให้นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 2 สัปดาห์
"เพียง 2 เดือน มีความไม่แน่นอนสูง ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจ การลงทุนชะลอไปบ้าง ซึ่งคาดว่าช่วงไตรมาส 2 มีสัญญาณอ่อนตัวลง แต่ถ้าเข้าสู่ครึ่งปีหลังสถานการณ์จะดีขึ้น...จึงอยากให้ 2-3 เดือนนี้ ไปคิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรักษาโมเมนตั้มทางเศรษฐกิจไว้รอรัฐบาลหน้า"นายสมคิด กล่าว
ส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยทั้งปีไม่ควรต่ำกว่า 3.5% หรือไม่นั้น นายสมคิด กล่าวว่า อยากให้การเติบโตเศรษฐกิจสูงอยู่แล้ว สิ่งสำคัญอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะปัจจัยภายในประเทศดีอยู่แล้ว ไม่ว่าการเป็นศูนย์กลางการลงทุนหรือการท่องเที่ยวในภูมิภาค โครงการเมกะโปรเจ็คต์ต่าง ๆ แต่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะสามารถสร้างความมั่นใจทางเศรษฐกิจได้หรือไม่
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ระบุว่า สศค.คาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 และ ไตรมาส 2 ว่าจะขยายตัวได้ราว 3% จึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างรอรัฐบาลใหม่เข้ามารับช่วงต่อ โดยยืนยันว่ามาตรการต่างๆ จะไม่ทำเป็นแผนระยะยาวจนกลายเป็นภาระต่อรัฐบาลหน้า
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้จัดเตรียมงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาทเพื่อดำเนินมาตรการต่าง ๆ ทั้งมาตรการภาษีกระตุ้นด้านท่องเที่ยว โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้สำหรับการท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง ส่วนด้านการศึกษาก็เตรียมออกมาตรการในลักษณะคล้ายกับมาตรการช้อปช่วยชาติ สำหรับซื้ออุปกรณ์การศึกษา ชุดนักเรียน และพร้อมเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อซื้อเครื่องเขียน และชุดนักเรียนได้อีกด้วย
รวมถึงมีแนวคิดให้ผู้ที่ซื้อหนังสือสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ เพื่อเป็นสนับสนุนการพัฒนาบุคลากร พร้อมทั้งเตรียมออกมาตรการเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ในะระยะยาวด้วยการให้สิทธิประโยชน์สำหรับนักศึกษาที่เรียนใน 10 สาขาที่สองคล้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในอนาคต
ด้านมารตรการด้านอสังหาริมทรัพย์ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ผ่านมาประชาชนยังมีความต้องการที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ แต่ไม่สามารถกู้จากสถาบันการเงินได้ เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กำชับให้สถาบันการเงินมึความเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติเงินกู้ ซึ่งแนวทางของกระทรวงการคลังจะให้ธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เข้ามาช่วยตรงจุดนี้ด้วย