นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนมี.ค.62 จำนวนผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยสืบเนื่องมาจากการอนุญาตให้ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ สามารถให้บริการสินเชื่อโดยรับสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นประกันการกู้ยืมเงิน และการปรับเพิ่มวงเงินสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เป็นไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย (พิโกพลัส)
โดยสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เป็นต้นมา จนถึง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 มีจำนวนนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนคำขออนุญาตทั้งสิ้น 965 ราย ใน 74 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 83 ราย กรุงเทพมหานคร 73 ราย ขอนแก่น 52 ราย ทั้งนี้ มีจำนวนนิติบุคคลที่คืนคำขออนุญาตทั้งสิ้น 119 ราย ใน 50 จังหวัด จึงคงเหลือนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตสุทธิเป็นจำนวน 846 ราย ใน 74 จังหวัด
โดยมีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 535 ราย ใน 66 จังหวัด ซึ่งในจำนวนนี้ ได้เปิดดำเนินการแล้วเป็นจำนวน 440 ราย ใน 64 จังหวัด และมีจำนวนผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 410 ราย ใน 64 จังหวัด
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ โดยออกประกาศกระทรวงการคลังและประกาศสำนักงานเศรษฐกิจการคลังฉบับใหม่ซึ่งมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2562 เป็นต้นมา ส่งผลให้ผู้สนใจมีทางเลือกในการขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ได้ 2 ประเภท ได้แก่ (1) สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ (เดิม) มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกิน 36% ต่อปี (Effective Rate) หรือ (2) สินเชื่อพิโกพลัส มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกิน 36% ต่อปี (Effective Rate) สำหรับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทแรก และส่วนวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่า 50,000 บาท ให้เรียกเก็บได้ไม่เกิน 28% ต่อปี (Effective Rate)
สำหรับเงื่อนไขอื่น ๆ ในการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ยังคงเป็นไปตามเงื่อนไขเดิม รวมถึงสามารถให้บริการสินเชื่อโดยรับสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถเพื่อการเกษตรเป็นประกัน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน" หรือ "สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ" ได้ดังเดิม ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่า จะมีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์อยู่เดิมและผู้ที่สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกพลัสเข้ามาจำนวนมาก
ทั้งนี้ สถิติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสมจำนวน 71,326 บัญชี รวมเป็นจำนวนเงิน 1,815.03 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ยจำนวน 25,446.96 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกันจำนวน 35,150 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 1,080.82 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59.55% ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันจำนวน 36,176 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 734.21 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40.45% ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม
ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 24,418 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 646.56 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อคงค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน มีจำนวน 2,669 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 77.85 ล้านบาท หรือคิดเป็น 12.04% ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อคงค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) จำนวน 1,359 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 24.54 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.79% ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม
สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบทดแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.85% ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2562 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 525,141 ราย เป็นจำนวนเงิน 23,629.00 ล้านบาท จำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 485,220 ราย เป็นจำนวนเงิน 21,915.13 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติให้กับผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จำนวน 39,921 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,713.87 ล้านบาท
สำหรับการดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินการสะสมการจับกุมผู้กระทำผิดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เป็นต้นมา ถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2562 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 4,813 คน