นางโสมรัศมิ์ จันทรัตน์ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยด้านระบบการเงิน สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยว่า หนี้ครัวเรือนปี 2561 ขยายตัวเพิ่มกว่า 6% จาก 4 ปีก่อนที่ระดับทรงตัว ทำให้หนี้ครัวเรือนไทยอยู่อันดับ 3 ของเอเชียแปซิฟิค รองจากเกาหลีใต้และออสเตรเลีย โดยในสิ้นปี 2561 สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 78.6% ต่อจีดีพี สูงกว่าในปี 2560 และขยายตัวมากกว่าเศรษฐกิจ
โดยจากงานวิจัยซึ่งติดตามผู้กู้รายคน และสินเชื่อรายสัญญาเวลา 9 ปี พบว่าผู้กู้รายเดิมมีการกู้หลายบัญชี มีคุณภาพของสินเชื่อด้อยลง อาจนำไปสู่ความเสี่ยงในระบบได้ ขณะที่ผู้กู้รายใหม่คิดเป็นเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นการก่อหนี้ประเภทบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล สินเชื่อรถยนต์ เป็นหลัก แต่สัดส่วนของผู้กู้ใหม่ในแต่ละปีกลับมีการกระจายเชิงพื้นที่ ทำให้เห็นว่าการขยายตัวของสินเชื่อทั่วถึงขึ้น นอกจากนี้ผู้กู้ใหม่มีสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้านและรถยนต์เป็นครั้งแรกมีอายุน้อยลง โดยสัดส่วนผู้กู้บ้านครั้งแรกอายุน้อยกว่า 35 ปีได้เพิ่มขึ้นจาก 40% ในปี 2552 มาเป็น 60% ในปี 2561 และสัดส่วนผู้กู้รถยนต์ครั้งแรกมีอายุต่ำกว่า 25 ปีสูงขึ้นจาก 5% ในปี 2552 มาอยู่ที่ 15% ในปี 2561
ขณะเดียวกันยังพบว่ากว่าครึ่งของผู้กู้ใหม่ในแต่ละปีมีอายุน้อย และมีสัดส่วนผู้กู้อายุน้อยกว่า 25 ปีสูงขึ้นเรื่อยๆ และมีการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนของผู้กู้สูงอายุในกลุ่มผู้กู้เดิม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยมีหนี้เร็วขึ้น และนานขึ้น และมีโอกาสเป็นหนี้เสียสูงขึ้น
"การกำกับดูแลของหน่วยงานกำกับต้องดูในกลุ่มเสี่ยง เช่น กลุ่มอายุน้อย กลุ่มผู้กู้หน้าเดิมแต่มีหลายบัญชีว่าจะต้องทำอย่างไรไม่ให้กลุ่มนี้เกิดความเสี่ยง และครัวเรือนต้องปรับเปลี่ยนการใช้จ่าย ซึ่งจะทำอย่างไรให้รายได้โตเร็วกว่าหนี้ โดยอนาคตมีความเป็นไปได้สูงที่หนี้จะโตเร็วกว่าจีดีพี ส่วนนโยบายก็สกัดได้ระดับหนึ่งในผู้กู้หน้าใหม่ แต่ก็ต้องอยู่ที่วินัยทางการเงิน และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปยังเอื้อให้คนเป็นหนี้ได้ง่ายขึ้น"
นายสรา ชื่นโชคสันต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายการเงิน สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ยังเป็นผลจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจซบเซา ภัยน้ำท่วมใหญ่ ที่ทำให้ภาคครัวเรือนต้องก่อหนี้เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย การเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินในระบบที่มากขึ้น หรือวินัยทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปของครัวเรือน
สถานการณ์นี้ส่งผลให้ครัวเรือนไทยสะสมความเปราะบางทางการเงิน และอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความเข้มแข็งและเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาภาครัฐพยายามออกมาตรการเพื่อดูแลหนี้ครัวเรือน เช่น การส่งเสริมความรู้ทางการเงิน มาตรการดูแลสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของ ธปท. โครงการคลินิกแก้หนี้ และโครงการเดินหน้าขจัดหนี้นอกระบบเป็นศูนย์นั้น แต่มาตรการดังกล่าวจะเกิดผลไม่ได้ หากครัวเรือนยังขาดวินัยทางการเงิน