นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในวันนี้ (14 พ.ค.) กรมฯ ได้เปิดให้ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติ 27 ราย ยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวในสต็อกรัฐบาลเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน (ข้าวกลุ่ม 2) ปริมาณ 15,329.75 ตัน และข้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ (ข้าวกลุ่ม 3) ปริมาณ 13,259.36 ตัน ปรากฏว่า ข้าวกลุ่ม 2 มีผู้ยื่นซอง 12 ราย และมีผู้เสนอซื้อสูงสุด 1 ราย มูลค่าเสนอซื้อ 131.84 ล้านบาท หรือเฉลี่ยที่ตันละ 8,600.01 บาท และกลุ่ม 3 มีผู้ยื่นซอง 9 ราย เสนอซื้อสูงสุด 1 ราย มูลค่าเสนอซื้อ 86 ล้านบาท หรือเฉลี่ยที่ตันละ 6,485.98 บาท
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้าวทั้ง 2 กลุ่มเป็นการระบายเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น นบข.ได้กำชับให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) กำกับดูแลให้ผู้ซื้อนำข้าวไปใช้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ขอเสนอซื้อโดยเคร่งครัด เพื่อป้องกันการรั่วไหลเข้าสู่ระบบการค้าปกติ หากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข โดยมีการนำข้าวไปใช้ผิดวัตถุประสงค์จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
"กรมฯ จะรวบรวมผลการยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวในสต็อกรัฐบาลทั้ง 2 กลุ่ม เข้าที่ประชุมคณะทำงานดำเนินการระบายข้าวในสต็อกของรัฐ และคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวพิจารณาก่อนนำเสนอประธานกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ให้ความเห็นชอบการจำหน่ายข้าวครั้งนี้ภายในเดือน พ.ค.นี้" นายอดุลย์ กล่าว
ส่วนการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐเป็นการทั่วไป หรือข้าวกลุ่ม 1 ปริมาณ 13,635.41 ตัน ได้เปิดให้ผู้ผ่านคุณสมบัติ 17 รายยื่นซองเสนอราคาเมื่อวันที่ 10 พ.ค.62 ปรากฏว่า มีผู้สนใจยื่นซอง 15 ราย และเสนอซื้อสูงสุด 3 ราย ใน 6 คลัง โดยขายได้ทั้งหมดที่เปิดประมูล มีมูลค่าเสนอซื้อ 151.12 ล้านบาท เฉลี่ยที่ตันละ 10,965.33 บาท
สำหรับข้าวทั้ง 3 กลุ่มที่นำออกมาเปิดประมูลถือเป็นข้าวในสต็อกรัฐบาลล็อตสุดท้ายที่มีเหลืออยู่ และสามารถจำหน่ายได้ทั้งหมด ทำให้กรมการค้าต่างประเทศไม่มีข้าวสารในสต็อกมาเปิดประมูลอีกแล้ว ถือเป็นการจบภารกิจการระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาล หลังจากรับมอบข้าวมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 57