นายสุชาติ จันทรานาคราช รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานคณะกรรมการสายงานแรงงาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ส.อ.ท. ต้องการเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่ช่วยผลักดันให้การเพิ่มผลผลิต (Productivity) ของแรงงาน ให้เป็นวาระแห่งชาติ มากกว่าการแก้ปัญหาด้วยการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่อาจทำให้ผู้ประกอบการ SME ไม่สามารถจ่ายค่าจ้างในอัตราสูงได้ และส่งผลให้ล้มเลิกกิจการไปในที่สุด
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งทุกพรรคการเมืองนำเรื่องขึ้นค่าจ้างมาเป็นตัวชูโรงซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าหน้าตารัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการจ้างแรงงานสูงมากในโลก ขณะเดียวกันก็มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าว ประมาณกว่า 3 ล้านความเป็นห่วงคือแรงงานที่มีอาจจะไม่มีคุณภาพ หรือคุณภาพไม่ดีเท่าที่ผู้ประกอบการต้องการ ผู้ประกอบการเองก็มีความยากลำบากในการหาแรงงานที่มีคุณภาพอย่างที่ต้องการ ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะฝีมือ ขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ที่ต้องการ ที่สำคัญที่สุดคือระบบการศึกษาของประเทศไม่สามารถสร้างแรงงานให้มีคุณภาพ เหมาะสมและเป็นไปตามความต้องการของผู้ประกอบการ ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาที่เรื้อรังมามากพอสมควร
"การปรับขึ้นค่าจ้างควรจะเป็นวิธีสุดท้าย ควรปรับขึ้นตามผลิตภาพและมาตรฐานฝีมือแรงงาน... เคยมีอยู่สมัยหนึ่งที่รัฐบาลปรับขึ้นค่าจ้างจากระดับ 200 บาท เป็น 300 บาท ปรากฎว่า SME ตายกันหมด"
ทั้งนี้ ส.อ.ท.ได้จัดทำข้อเสนอแนวทางในการพัฒนาผลิตภาพแรงงานของไทย ได้แก่ ให้บรรจุผลิตภาพแรงงานเป็นวาระแห่งชาติ, ประสานความร่วมมือองค์กรที่เกี่ยวข้อง รัฐ เอกชน แรงงานรวมมือในการพัฒนาผลิตภาพแรงงานของประเทศ, ส่งเสริมและพัฒนาให้แรงงานมีทักษะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มผลิตภาพ, สนับสนุนการใช้ IT และ Automation ประกอบการผลิต, ประสานความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและภาคการศึกษาเพื่อผลิตบุคลากรสอดคล้องกับตลาดแรงงาน, ตั้งศูนย์ข้อมูลผลิตภาพแรงงาน, การพิจารณาปรับค่าจ้างและโครงสร้างค่าจ้างให้ยึดผลิตภาพแรงงานเป็นประเด็นหลัก
ในปัจจุบันแรงงานคุณภาพมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการ รวมทั้งขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ขณะที่ตัวเลขคาดการณ์ผู้จบการศึกษาปี 2563 มีสูงถึง 1.8 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มี 1.6 ล้านคน โดยพบว่าแรงงานที่จบการศึกษามานั้น ส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่ไม่ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ และบางสาขาวิชาเกินความต้องการในตลาดแรงงาน
ในวันนี้ ส.อ.ท. จึงได้ลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือ ระหว่าง ส.อ.ท. และ JOBTOPGUN ในการสนับสนุนระบบสรรหาแรงงานและการค้นหาผู้สมัครงานให้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อสนับสนุนระบบสรรหาแรงงานและเครื่องมือการค้นหาผู้สมัครงานให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ช่วยเพิ่มช่องทางการเข้าถึงแหล่งงานภาคอุตสาหกรรม สร้างตลาดงานและคนหางานบนโลกไซเบอร์ (Cyber Employment Community) ที่ผู้ประกอบการและผู้สมัครงานสามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ สร้างโอกาสให้บุคลากรที่มีคุณภาพได้มีงานทำเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการให้โอกาสในด้านการฝึกงานในระหว่างการศึกษาของนักศึกษา มุ่งเน้นเสริมศักยภาพให้ผู้สมัครงานมีความพร้อมทุกด้านก่อนเข้าสู่ตลาดงานเพื่อสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งภาคการผลิตยังมีความต้องการแรงงานคุณภาพเข้าสู่ตลาดแรงงานอีกเป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่า "การลงนามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการประสานความร่วมมือในการสนับสนุนระบบสรรหาแรงงานและการค้นหาผู้สมัครงานให้ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ ระหว่าง ส.อ.ท. และบริษัท ซูเปอร์เรซูเม่ จำกัด" ในครั้งนี้ จะตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานคุณภาพ
นายสุชาติ กล่าวว่า จากผลสำรวจความต้องการแรงงานของสถานประกอบการในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พบว่า มีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น 23,418 อัตรา เมื่อจำแนกตามกลุ่มงานของจังหวัด EEC ที่มีความต้องการแรงงาน พบว่า อันดับ 1 คือ งานการผลิต ต้องการ 11,325 อัตรา อันดับ 2 คือ งานบริการ ต้องการแรงงาน 1,554 อัตรา อันดับ 3 คือ อื่น ๆ ต้องการแรงงาน 1, 226 อัตรา อันดับ 4 คือ งานบำรุงรักษา ต้องการแรงงาน 1,152 อัตรา อันดับ 5 คือ งานควบคุมการผลิตและประกันคุณภาพ ต้องการแรงงาน 1,060 อัตรา
หากจำแนกตามกลุ่มอุตสาหกรรมของจังหวัด EEC อันดับ 1 คือ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์ มีความต้องการแรงงาน 2,653 อัตรา อันดับ 2 คือ อุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม มีความต้องการแรงงาน 2,275 อัตรา อันดับ 3 คือ กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร มีความต้องการแรงงาน 1,689 อัตรา