ปัจจุบันราคาน้ำยางสดอยู่ในระดับ 50.00 บาท/กก. ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอินโดนีเซียพบว่าราคาน้ำยางสดของไทยสูงกว่า รวมทั้งการส่งเสริมการลงทุนในเขตระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) ที่ทำให้นักลงทุนอุตสาหกรรมยางโดยเฉพาะยางล้อเข้ามาตั้งโรงงานผลิตยางล้อในประเทศไทยเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าราคายางของไทยเคลื่อนไหวตามความต้องการใช้จริง
ด้านราคายางแห้ง (ยางแผ่นรมควันและยางก้อนถ้วย) นั้นเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจาก กยท. เข้าไปประมูลยางแผ่นรมควันที่ตลาดกลางยางพารา จ.สงขลา จ.นครศรีธรรมราช และ จ. สุราษฎร์ธานี อย่างต่อเนื่องตั้งเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยซื้อในราคาที่เหมาะสมและชี้นำตลาด เพื่อนำไปขายให้กับโรงงานที่ยังมีความต้องการซื้อเพราะปริมาณยางในตลาดลดลง เนื่องจากผลผลิตยางถูกนำไปใช้แปรรูปในประเทศมากขึ้นทำให้ราคายางแผ่นรมควันตลาดกลางปรับตัวสูงขึ้นจาก 40.00 บาท/กก. มาอยู่ที่ 55.00 บาท/กก. ส่วนราคาส่งออก FOB ท่าเรือกรุงเทพฯ ทะลุ 60.00 บาท/กก. ไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา
สำหรับความคืบหน้าโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางที่รัฐบาลให้ กยท.เร่งดำเนินการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงราคายางตกต่ำ ภายใต้งบประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยจ่ายเงินไร่ละ 1,800 บาท ให้เจ้าของสวนยาง 1,100 บาท/ไร่ คนกรีดยาง 700 บาท/ไร่ สิทธิ์ไม่เกิน 15 ไร่/ราย ปัจจุบันจ่ายเงินเกิน 90% ของเป้าหมายแล้ว และคาดว่าจะจ่ายเงินได้ 100% ภายในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายเดิมที่กำหนด
อย่างไรก็ตาม เพื่อแก้ปัญหาราคายางระยะยาว กยท.ได้ส่งเสริมให้ชาวสวนยางปลูกยางในพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อลดพื้นที่ปลูกยางที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากต้นทุนการปลูกสูงผลผลิตต่ำอีกทั้งปัจจุบันสินค้าเกษตรทุกชนิดจะแข่งขันกันที่คุณภาพ กยท.จึงต้องหายางพันธุ์ดี เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตพร้อมหาวิธีการลดต้นทุน ผลักดันให้เกษตรกรเพิ่มมูลค่ายางด้วยการแปรรูปและพัฒนานวัตกรรมยาง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความมั่นคงในอาชีพ