ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในการประชุมนโยบายการเงินวันที่ 18-19 มิ.ย.62 ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่น่าจะปรับเปลี่ยนมุมมองภาพการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากประมาณการรอบก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่เฟดมีโอกาสปรับมุมมองเงินเฟ้อลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และอาจส่งสัญญาณแสดงความกังวลต่อความเสี่ยงของเศรษฐกิจภายนอกมากขึ้น
"การส่งสัญญาณดังกล่าวของเฟด คงจะเป็นการเปิดช่องว่างในการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า หากพัฒนาความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และประมาณการเงินเฟ้อของเฟดสูงขึ้น" เอกสารเผยแพร่ระบุ
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มมีสัญญาณอ่อนแอลง สนับสนุนการพิจารณาความเหมาะสมของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ คงต้องยอมรับว่าพัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลงชัดเจนมากขึ้น อาทิ พัฒนาการของตลาดแรงงานที่การเพิ่มขึ้นของการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพฤษภาคม 2562 เพิ่มขึ้นเพียง 7.5 หมื่นตำแหน่ง เทียบกับค่าเฉลี่ยการเพิ่มขึ้นของตำแหน่งงานนอกภาคการเกษตรในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.64 แสนตำแหน่ง/เดือน
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของค้าจ้างรายชั่วโมงอันเป็นอีกเครื่องชี้ที่สะท้อนภาพรวมของตลาดแรงงงานก็มีทิศทางชะลอลงเช่นกันโดยขยายตัวในระดับต่ำสุดในรอบกว่า 8 เดือน ทั้งนี้ การชะลอลงของการปรับขึ้นค่าจ้างรายชั่วโมงอาจจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะกลางที่มีแนวโน้มชะลอลง อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันให้ทิศทางของเงินเฟ้อสหรัฐฯ ในระยะต่อไป
ดังนั้น ท่ามกลางแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มมีทิศทางชะลอลงชัดเจนขึ้น ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวในระดับต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของเฟด คงเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดอาจมีการทบทวนถึงความเหมาะสมของการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า เมื่อมองไปข้างหน้า พัฒนาการของประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ คงเป็นตัวแปรสำคัญต่อความเสี่ยงการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อันเป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อจังหวะในการตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ปัจจัยข้อพิพาททางการค้า อาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีนัยสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าได้ โดยเห็นได้จากการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ จากจีนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อภาคการผลิตในระยะข้างหน้าที่คงจะเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงที่กำลังซื้อในระยะข้างหน้าอาจชะลอลง โดยดัชนี ISM ภาคการผลิตของสหรัฐฯ เดือนพฤษภาคม 2562 ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี
ดังนั้นจุดสนใจที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคงหนีไม่พ้นการประชุม G20 ในวันที่ 28-29 มิถุนายน 2562 ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจะมีการหารือกัน โดยในกรณีที่การหารือไม่ได้ข้อสรุปอาจจะส่งผลให้สหรัฐฯ ขยายการเก็บภาษีนำเข้าให้ครอบคลุมสินค้าจีนที่เหลือมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งหากสถานการณ์สงครามการค้าลุกลามออกไป คงเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่การเติบโตกำลังชะลอลงในปัจจุบันเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น ประเด็นดังกล่าว อาจจะเพิ่มโอกาสที่เฟดอาจจะตัดสินในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ ในการเปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจ รอบการประชุมเดือนมิถุนายน 2562 ของเฟด คงจะเป็นการส่งสัญญาณเปิดโอกาสให้เฟดมีช่องว่างในการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เฟดน่าจะคงมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากประมาณรอบก่อน (มี.ค. 62) ในขณะที่เฟดมีโอกาสปรับมุมมองเงินเฟ้อลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และอาจส่งสัญญาณแสดงความกังวลต่อความเสี่ยงของเศรษฐกิจภายนอกมากขึ้น
ในส่วนของมุมมองคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (dot-plot) ประมาณการอัตราดอกเบี้ยของเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่น่าจะส่งสัญญาณไปที่การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยอาจจะมีมุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดที่สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากขึ้น ทั้งนี้ การส่งสัญญาณดังกล่าวของเฟด คงจะเป็นการเปิดช่องว่างในการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า หากพัฒนาความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวโน้มเงินเฟ้อที่เฟดคาดการณ์ปรับเพิ่มสูงขึ้น
สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทยนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงของกระแสเงินทุนออกจากสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ฯ อันส่งผลให้ค่าเงินบาทในระยะข้างหน้ามีโอกาสปรับตัวแข็งค่าขึ้น และกดดันให้ทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลาง-ยาวของไทยปรับลดลง
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของเฟด เปิดโอกาสให้ธนาคารในประเทศเกิดใหม่ รวมทั้งไทย มีพื้นที่ในการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายเพิ่มเติมในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจที่ได้รับแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่คาดว่าที่ประชุมคณะกรรมการเงินของไทย จะยังคงติดตามพัฒนาการในเชิงความเสี่ยงความเปราะบางของภาคการเงินโดยเฉพาะประเด็นการก่อหนี้ของครัวเรือน เพื่อชั่งน้ำหนักในการพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยของไทยต่อไป