นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่ห้างค้าปลีกหลายแห่งได้ปรับราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดขนาด 1 ลิตร เพิ่มขึ้นเป็น 34-35 บาท จากเดิมที่จำหน่ายในราคาขวดละ 25-26 บาทว่า กรมฯ ไม่ได้สั่งการให้ห้างปรับขึ้นราคาจำหน่ายปลีก แต่เป็นการขอความร่วมมือให้จำหน่ายในราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนราคาน้ำมันปาล์มดิบ ที่ปัจจุบันได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่กิโลกรัม (กก.) ละ 19.50-20.00 บาท จากก่อนหน้านี้ที่ 16.50-17.50 บาท หากคิดเป็นต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวดจะอยู่ที่ขวด (ลิตร) ละ 32-35 บาท
ปัจจุบันราคาผลปาล์มดิบปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ กก.ละ 3.50 บาท จากเดิม กก.ละ 2.00-2.50 บาท ซึ่งเป็นผลจากการที่รัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน B10, B20 และ B100 ทำให้ช่วยดูดซับน้ำมันปาล์มดิบออกจากระบบได้เป็นจำนวนมาก โดยขณะนี้มีสต็อกคงเหลือเพียง 250,000 ตัน ซึ่งเป็นระดับสต็อกปกติ และคาดว่าแนวโน้มราคาผลปาล์มสดยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และมีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็นกก.ละ 4 บาทได้
"กรมฯ ไม่ได้สั่งให้ห้างปรับราคาขึ้น แต่เป็นการขอความร่วมมือให้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง เพื่อหลีกเลี่ยงการราคาขายต่ำกว่าทุน เพราะจะส่งผลให้ราคาลูกปาล์มตกต่ำลงได้อีก และจะกลับมาเป็นปัญหาต่อชาวสวนปาล์ม ที่ผ่านมา ชาวสวนปาล์มเดือดร้อนจากราคาตกต่ำมาเป็นเวลานานแล้ว" อธิบดีกรมการค้าภายในระบุ
ด้านนายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา ประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า กล่าวว่า การส่งเสริมการจำหน่ายสินค้าในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เป็นพฤติกรรมทางการค้าที่ไม่ปกติ สามารถทำได้ในระยะสั้น เช่น 1-2 สัปดาห์ ไม่ใช่ทำอย่างต่อเนื่อง เพราะอาจเป็นความผิดตามกฎหมายการแข่งขันทางการค้า และอาจเข้าข่ายกรณีที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด จะมีความผิดตามมาตรา 50 มีโทษทางอาญา จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด หรือทั้งจำทั้งปรับ และกรณีที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจทั่วไป จะมีความผิดตามมาตรา 57 ซึ่งมีโทษทางปกครอง ต้องชำระค่าปรับทางปกครองในอัตราไม่เกิน 10% ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด
นายสันติชัย สารถวัลย์แพศย์ กรรมการการแข่งขันทางการค้า ในฐานะโฆษกคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า กล่าวว่า การส่งเสริมการขายในราคาสินค้าต่ำกว่าต้นทุนอย่างต่อเนื่องในระยะเวลานานเกินสมควร อาจมีผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจรายอื่น ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ หากกรมการค้าภายในขอให้สำนักงานคณะกรรมการฯ เข้าไปดูเรื่องนี้ ก็พร้อมที่จะเข้าไปตรวจสอบ และหากพบว่ามีการกระทำผิด จะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป