นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เผยมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนของไทยในช่วง 5 เดือนของปี 2562 (ม.ค.-พ.ค.) ยังคงขยายตัวได้ดี สวนทางกับการส่งออกรวมในเดียวกันที่ขยายตัวติดลบ 2.70% โดยมีมูลค่ารวม 577,391.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.31% แยกเป็น การส่งออก 321,338.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.31% และการนำเข้า 256,053.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.94% เกินดุลการค้า 65,285.18 ล้านบาท และหากแยกเป็นการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ มูลค่า 446,527.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.57% เป็นการส่งออก 262,969.34 ล้านบาท ลดลง 3.15% นำเข้า 203,557.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.82% เกินดุลการค้า 59,411.38 ล้านบาท และการค้าผ่านแดนกับ 3 ประเทศ มูลค่า 110,864.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.35% เป็นการส่งออก 58,369.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.54% นำเข้า 52,495.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.66% เกินดุลการค้า 5,873.80 ล้านบาท
โดยการค้าชายแดนเมื่อแยกเป็นรายประเทศ พบว่า มาเลเซียยังเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่ง มูลค่า 232,127.80 ล้านบาท ลดลง 0.60% เป็นการส่งออก 109,720.76 ล้านบาท ลดลง 9.38% นำเข้า 122,407.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.85% รองลงมา คือ เมียนมา มูลค่า 84,324 ล้านบาท สปป.ลาว มูลค่า 82,687.27 ล้านบาท และกัมพูชา มูลค่า 67,388.24 ล้านบาท
ขณะที่การค้าผ่านแดน จีนตอนใต้เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่ง มูลค่า 49,107.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นสูงถึง 46.41% เป็นการส่งออก 20,262.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.78% นำเข้า 28,844.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.81% รองลงมาคือ เวียดนาม มูลค่า 33,093.67 ล้านบาท และสิงคโปร์ มูลค่า 28,663.39 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อภาพรวมของการค้าในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. ได้แก่ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นค่อนข้างมาก รวมทั้งผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวกระทบกำลังซื้อทั่วโลกอย่างชัดเจน และผลกระทบจากสงครามการค้าที่นับวันทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลทำให้การค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีการเติบโตแบบชะลอตัว โดยมาเลเซีย การส่งออกหดตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้ายางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งได้รับปัจจัยกดดันจากค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่า กอปรกับความต้องการนำเข้ายางธรรมชาติจากต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลง รวมถึงสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังประเทศไทยและหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียน
ด้าน สปป.ลาว มูลค่าการค้าหดตัวลง เนื่องจากการที่จีนหันมาลงทุนใน สปป.ลาว มากขึ้น ทำให้การส่งออกสินค้ากลุ่มน้ำมันดีเซล รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็กและเหล็กกล้า และสินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตรอื่นๆ มีการชะลอตัวลง สำหรับเมียนมา การส่งออกมีการชะลอตัวเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าน้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ขณะที่กัมพูชา สถานการณ์การค้ายังคงสดใส การส่งออกขยายตัวถึง 21.56% โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ รถยนต์ อุปกรณ์ฯ ในขณะที่การค้าผ่านแดนของไทย มีการขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ไปยังจีนตอนใต้ มีการมูลค่าสูงขึ้นถึง 274.05%
นายอดุลย์ คาดว่าการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนในช่วง 7 เดือนที่เหลือของปีนี้ (มิ.ย.-ธ.ค.) มูลค่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง จากการที่สินค้าไทยยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดของประเทศเพื่อนบ้าน และอาเซียนได้เห็นชอบให้เร่งการอำนวยความสะดวกทางการค้าในอาเซียนในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ทั้งการเชื่อมระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของอาเซียน การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง และยังได้มีมติให้ผลักดันการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการค้า และลดผลกระทบจากความตรึงเครียดทางการค้า รวมทั้งได้มีการผลักดันแผนงานพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย หรือ IMT-GT ที่เน้นย้ำการเร่งสร้างความเชื่อมโยงทุกด้านในอาเซียนให้เติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ซึ่งจะมีส่วนช่วยผลักดันการค้าและการลงทุนได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีแผนจัดกิจกรรมสนับสนุนการค้าอีกเป็นจำนวนมาก เช่น โครงการ YEN-D Frontier รุ่น LIMEC ณ จังหวัดตาก ซึ่งจัดไปแล้วเมื่อวันที่ 16-21 มิ.ย.62 มีผู้ประกอบการจากไทย เมียนมา และ สปป.ลาว จากระเบียงเศรษฐกิจหลวงพระบาง อินโดจีน เมาะลำไย (LIMEC) เข้าร่วมรวม 46 ราย เกิดการจับคู่ทำธุรกิจทันที ได้แก่ ธุรกิจประเภทสมุนไพรหอมระเหย น้ำมันกัญชาสกัด เครื่องจักรผลิตภัณฑ์อาหาร สปา โรงแรม และอสังหาริมทรัพย์ และมีกำหนดจัด YEN-D Frontier รุ่นไทย-เวียดนาม วันที่ 22-26 ก.ค.62 รวมทั้งจะจัดมหกรรมการค้าชายแดนไทย-เมียนมา หรือ THAILAND-MYANMAR BORDER TRADE FAIR 2019 ระหว่างวันที่ 4-7 ก.ค.62 ณ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าการลงทุนพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ตามด้วยงานมหกรรมการค้าชายแดนไทย-สปป.ลาว ณ จังหวัดมุกดาหาร ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.62 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามแนวชายแดนไทย-สปป.ลาว และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษให้เกิดการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น