ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้นอีกครั้ง ซึ่ง แม้จะไม่มีการประกาศโดยตรงว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการดูแลค่าเงินบาท แต่คงต้องยอมรับว่าในช่วงก่อนหน้านี้ (ตั้งแต่ปี 2560) ธปท. เคยใช้การลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้น มาเป็นเครื่องมือช่วยชะลอกระแสเงินทุนไหลเข้า และ/หรือลดแรงจูงใจไม่ ให้นักลงทุนต่างชาติใช้พันธบัตรระยะสั้นของไทยเป็นที่พักเงินในช่วงเวลาที่ตลาดเงิน-ตลาดทุนโลกมีความผันผวน เพราะเงินบาทมักถูกมอง ว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัย ประกอบกับไทยมีการบันทึกยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงตลอดหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้นดังกล่าว ยังเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่มีแรงหนุนให้เงินบาทแตะระดับ ค่าสุดในรอบ 6 ปีครั้งใหม่ที่ 30.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ณ วันที่ 1 ก.ค.62) ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้ตลาดมีความระมัดระวัง และรอติดตาม สัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่า ธปท. เตรียมที่จะออกมาตรการมาดูแลความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการ เงินของไทย (กนง.) เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา แสดงท่าทีที่เป็นกังวลมากขึ้นต่อสถานการณ์เงินบาท ซึ่งแข็งค่าอย่างรวดเร็ว และเริ่ม ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทย
ทั้งนี้ วงเงินประมูลพันธบัตรระยะสั้นของ ธปท. จะปรับลดลงในเดือนก.ค.62 ทั้งในส่วนของพันธบัตร ธปท. อายุ 3 เดือน พันธบัตรอายุ 6 เดือน และพันธบัตรอายุ 1 ปี โดยวงเงินการออกพันธบัตร ธปท. ระยะสั้น 3 เดือน และพันธบัตรระยะ 6 เดือน ลดลง ประเภทละ 5,000 ล้านบาทต่อสัปดาห์ ขณะที่วงเงินการออกพันธบัตรธปท. อายุ 1 ปี ลดลง 10,000 ล้านบาทในเดือนก.ค.62
วงเงินการออกพันธบัตรธปท. เม.ย.2562 พ.ค.2562 มิ.ย.2562 ก.ค.2562 หมายเหตุ อายุ 3 เดือน 40,000-45,000 40,000 40,000 35,000 ลดลง 5,000 ล้านบาท/สัปดาห์ ล้านบาท/สัปดาห์ ล้านบาท/สัปดาห์ ล้านบาท/สัปดาห์ ล้านบาท/สัปดาห์ อายุ 6 เดือน 40,000-45,000 45,000 45,000 40,000 ลดลง 5,000 ล้านบาท/สัปดาห์ ล้านบาท/สัปดาห์ ล้านบาท/สัปดาห์ ล้านบาท/สัปดาห์ ล้านบาท/สัปดาห์ อายุ 1 ปี 40,000 40,000 45,000 35,000 ลดลง 10,000 ล้านบาท ล้านบาท ล้านบาท ล้านบาท ล้านบาท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้การปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้น มักจะเป็นเครื่องมือแรกๆ ที่ธปท. นำมาใช้เพื่อ ช่วยชะลอกระแสเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่าผลสุทธิที่มีต่อทิศทางการเคลื่อนย้ายเงินทุนในภาพรวมของนักลงทุน ต่างชาติ ยังคงขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย โดยเฉพาะมุมมองต่อแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์ฯ รวมถึงการปรับพอร์ตการลงทุนเข้าลงทุนใน พันธบัตรที่มีอายุยาวขึ้นของนักลงทุนต่างชาติ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเดือนเม.ย.60 ที่ ธปท.มีการลดวงเงินการออกพันธบัตรระยะสั้น 3 เดือน และระยะ 6 เดือน ลงประเภทละ 10,000 ล้านบาทต่อสัปดาห์ ซึ่งผลหลังจากนั้น ปรากฎว่านักลงทุนต่างชาติทยอยปรับเพิ่มการถือ ครองพันธบัตรระยะยาว แม้จะลดการถือครองพันธบัตรระยะสั้นลงก็ตาม
เมื่อมองไปข้างหน้า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ปัจจัยสำคัญที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะใกล้ๆ นี้ ยังเป็นเรื่อง การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังแนวโน้มเศรษฐกิจ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคาร กลางสหรัฐฯ (เฟด) รวมไปถึงภาพรวมการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ฯ
ในกรณีที่สหรัฐฯ และจีนสามารถบรรลุการเจรจาในประเด็นทางการค้าระหว่างกันได้เป็นผลสำเร็จแล้ว แรงกดดันที่มีต่อแนว โน้มเศรษฐกิจและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก็อาจจะผ่อนคลายลงกว่าที่ตลาดมีความกังวลในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ อาจทำให้เงินดอลลาร์ฯ สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้บางส่วน แต่ในทางกลับกัน หากสหรัฐฯ-จีนไม่สามารถหาข้อสรุปทางการค้าร่วมกันได้ ก็อาจ ทำให้โอกาสที่จะเห็นเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยประคองแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งย่อมเป็นสถานการณ์ที่เพิ่มแรงกด ดันต่อค่าเงินดอลลาร์ฯ และอาจมีผลกระทบต่อเนื่องให้เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบที่ค่อนข้างแข็งค่ากว่าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค และเป็นการเพิ่มช่วงบวกการแข็งค่าในปีนี้ต่อเนื่อง หลังจากที่แข็งค่าขึ้นแล้วในขณะนี้ถึง 6.5% นำสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย
"ในเบื้องต้น มองว่า การปรับลดวงเงินการออกพันธบัตรธปท. ระยะสั้น อาจเป็นหนึ่งในการดำเนินการในชั้นแรกเพื่อดูแล ประเด็นค่าเงินบาท ขณะที่คาดว่า ธปท. น่าจะติดตามทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายระยะสั้น และผลกระทบต่อทิศทางเงินบาทอย่างใกล้ชิด เพื่อ ประเมินความจำเป็นของการออกมาตรการที่มีความเหมาะสมต่อไปในระยะข้างหน้า" ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ