นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แจ้งผลการวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินว่ากระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายและแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า โดยให้เอกชนเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าทำให้สัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าของรัฐลดลงต่ำกว่า 51% อันขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 56 วรรคสอง โดยมีข้อเสนอแนะต่อกระทรวงพลังงานให้พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งผลการวินิจฉัย และดำเนินการให้รัฐมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ด ภายในกำหนด 10 ปี นับจากปี พ.ศ. 2562 นั้น
กระทรวงพลังงาน จะได้เร่งพิจารณาข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดินดังกล่าวตามขั้นตอน พร้อมทั้งยืนยันว่า การดำเนินงานตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ที่ผ่านมา ที่ให้เอกชนมีบทบาทร่วมในการผลิตไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2532 จนถึงประกาศในแผน PDP 2010 เมื่อปี 2553 แผน PDP 2015 ปี 2558 และล่าสุด PDP 2018 ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2562 นั้น เป็นการดำเนินการตามกรอบของรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด
นายมนูญ ศิริวรรณ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน กล่าวว่า คำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินต่อกระทรวงพลังงาน ที่ให้ทบทวนแผน PDP 2018 เพื่อให้รัฐมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 51% นั้น เป็นเพียงคำเสนอแนะ ซึ่งกระทรวงพลังงานจะไม่ทำตามก็ได้ แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินก็สามารถส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความตามกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 56 วรรคสอง ที่กำหนดว่า การดำเนินกิจการด้านสาธารณูปโภคต้องมีความมั่นคง รัฐต้องมีสัดส่วนเกินครึ่งหนึ่งของกิจการ โดยหากศาลฯพิจารณาเห็นชอบตามคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะมีผลให้กระทรวงต้องปฏิบัติตาม
ทั้งนี้ หากกระทรวงพลังงานจะดำเนินการตามคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดินทันที ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนคือ กระทรวงพลังงานต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงนโยบาย PDP 2018 ได้ จากนั้นจะต้องส่งเรื่องกลับมาให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี รมว.พลังงานเป็นประธาน เพื่อสั่งการปรับเปลี่ยนแผน PDP 2018 ต่อไป ซึ่งกระบวนดังกล่าวเป็นไปได้ยากที่ดำเนินการทันใน 120 วัน
สำหรับแผน PDP 2018 ปัจจุบัน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีสัดส่วนการผลิตเพียงประมาณ 36% ดังนั้นส่วนตัวเห็นว่าในอนาคตไทยจะเดินหน้าไปสู่การเปิดเสรีการผลิตไฟฟ้า แต่ในส่วนของความมั่นคงไฟฟ้าประเทศก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งปัจจุบันแผน PDP 2018 มีการกำหนดประเภทการผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงและการผลิตไฟฟ้าสำหรับการแข่งขัน ดังนั้น หากจะแก้ไขแผน PDP 2018 ใหม่ ก็ควรปรับเฉพาะในส่วนของความต้องการไฟฟ้าที่จะเกิดขึ้นใหม่ ที่อยู่ในส่วนของไฟฟ้าด้านความมั่นคงประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2562 ต่อเนื่องไป 10 ปี ซึ่งต้องมาปรับสัดส่วนใหม่ ให้รัฐมีสัดส่วนการถือครองไม่ต่ำกว่า 51% ได้ เนื่องจากปัจจุบันแผน PDP 2018 กำหนดสัดส่วนไฟฟ้าด้านความมั่นคงให้ทั้ง กฟผ.บางส่วน และบางส่วนต้องไปแข่งขันกับเอกชนผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (IPP) ด้วย ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนไฟฟ้าด้านความมั่นคงของรัฐไม่ถึง 51% ได้ ขณะที่ส่วนไฟฟ้าที่ดำเนินการไปแล้วก็ไม่ควรเข้าไปเปลี่ยนแปลง