ธนาคารโลก (World Bank) เปิดตัวรายงานตามติดเศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุด โดยระบุว่า ช่วงต้นปี 2562 เศรษฐกิจไทยเริ่มเติบโตช้าลงท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวลง โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะชะลอการเติบโตลงมาอยู่ที่ 3.5% จากปีก่อนที่เติบโต 4.1% ขณะที่การส่งออกไทยหดตัวเหลือ 4% ในไตรมาสแรกของปี 2562 นับเป็นการหดตัวไตรมาสแรกในรอบ 3 ปี ด้านการลงทุนของภาคเอกชนและการบริโภคของครัวเรือน ยังคงเติบโตใกล้เคียงกับระดับสูงสุดที่เคยมีมาในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยด้านบวกจากอัตราเงินเฟ้อต่ำ การเพิ่มการจ้างงาน และการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อมาใช้ดำเนินการ
ขณะเดียวกันการลงทุนภาครัฐลดลง เนื่องจากการดำเนินการโครงการลงทุนขนาดใหญ่ชะลอตัว อันเนื่องมาจากการเลือกตั้งที่ล่าช้า มีผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวลดลงที่ 2.8% ในไตรมาสแรกของปี 2562 ซึ่งเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่า 3% เป็นครั้งแรกนับจากกลางปี 2558
นอกจากนี้ ธนาคารโลก ยังคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะเติบโตได้ 3.6% จากเดิมคาด 3.9% และขยายตัว 3.7% ในปี 2564
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อเป็นความเสี่ยงที่สำคัญของแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในอนาคต ความกังวลที่มีต่อความมั่นคงของรัฐบาลผสมที่เกิดจาก 19 พรรคการเมือง มีผลด้านลบต่อนักลงทุนและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงอาจมีผลต่อความล่าช้าในการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลให้ทันกำหนดการที่วางไว้
นอกจากนี้แล้ว ยังมีปัจจัยภายนอกได้แก่ ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนอย่างต่อเนื่อง อาจมีผลให้ความต้องการสินค้าส่งออกจากประเทศไทยลดลง และไม่ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชนในอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก
"ความต่อเนื่องของนโยบาย และการดำเนินการโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ตามที่ได้วางแผนไว้ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน...การเพิ่มการเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคให้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น และการใช้ประโยชน์จากการที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนการค้าและการบริการ" นางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าว
ด้านนายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย ระบุว่า รายงานตามติดเศรษฐกิจไทยฉบับล่าสุดนี้ มีหัวข้อพิเศษเรื่องการให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการเงิน (ฟินเทค) เพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง เนื่องจากประเทศไทยมีความก้าวหน้าในเรื่องการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ดี ผลการศึกษาพบว่าประเทศไทยยังมีความท้าทายด้านคุณภาพของบริการทางการเงิน โดยใช้ดิจิทัลและการเข้าถึงบริการบรอดแบนด์
"การขยายบริการดิจิทัลไปยังประชากรกลุ่มที่ยังไม่เข้าถึงบริการนั้น จะช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ และยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำตามที่ได้ยุทธศาสตร์ชาติได้วางแผนไว้...ในส่วนของธุรกิจฟินเทคที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยนั้น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนระบบนิเวศของฟินเทคเป็นเรื่องที่สำคัญมาก" นายเกียรติพงศ์ระบุ