นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวถึงกรณีเงินบาทแข็งค่าขึ้นว่า เป็นการสะท้อนว่าไทยเป็นที่พึ่งพิงของเงินลงทุน แต่เชื่อว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะติดตามค่าเงินอย่างใกล้ชิด และฝ่ายการเมืองไม่ควรเข้าไปแทรกแซง ซึ่งตนเองฝากให้ดูแลเป็นอย่างดี
ส่วนเรื่องภาวะเศรษฐกิจของไทยนั้น ก่อนหน้านี้ได้มีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3.5% แต่ในเมื่อภาวะเศรษฐกิจโลกขณะนี้ หากไทยสามารถประคองตัวให้เติบโตได้เกิน 3% ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
"ที่ประเมินว่า เศรษฐกิจโต 3% ไม่ได้บอกว่าพอใจหรือไม่พอใจ แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยดีอยู่แล้ว และไม่ควรให้เศรษฐกิจถดถอย แต่บังเอิญเรามีการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ซึ่งตรงนี้ต้องมั่นใจเราเปลี่ยนผ่านไปได้ อย่ากังวลมากจนเกินไป แต่ยอมรับว่า การใช้จ่ายงบประมาณอาจช้าไปไปบ้าง แต่เราชดเชยด้วยอย่างอื่นได้ ทุกคนก็เตรียมตัวแต่ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งสำคัญ" นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวถึงกรณีธนาคารโลกประเมินว่า ไทยมีความเสี่ยงทางการเมืองเนื่องจากความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลว่า ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลก็มาจากพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งคุ้นเคยมาอย่างดีแต่บังเอิญที่ 4-5 ปีที่ผ่านมาเราไม่ได้มีพรรคร่วม ซึ่งในขณะนี้นายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการให้มีการหารือร่วมกันกับพรรคร่วมรัฐบาล เรื่องร่างนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งจะทำให้ความไม่แน่นอนในเรื่องของเสถียรภาพรัฐบาลยุติไป
นายสมคิด กล่าวต่อว่า หากทุกคนร่วมมือกันก็เชื่อว่า จะสามารถฝ่ามรสุมเศรษฐกิจโลกไปได้ พร้อมทั้งให้ความเชื่อมั่นว่า จากการที่ได้นายกรัฐมนตรีคนเดิม จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย โดยเฉพาะโครงการพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เหมือนเป็นเครื่องหมายทางการค้าไปแล้วก็ไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับกรณีเฟซบุ๊ก ที่มีแผนจะนำเงินสกุล Libra มาใช้นั้น เรื่องนี้ทางคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)อยู่ระหว่างการศึกษา เป็นช่วงที่ให้ความรู้กับประชาชน แต่เตรียมรองรับในวันข้างหน้า แม้ยังไม่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมแต่ต้องมีการติดตาม
"เราอย่าไปกังวลเกินเหตุว่ามีหลายพรรค ทำงานไม่ได้ ผมเชื่อว่า นักการเมือง ผู้นำการเมืองสมัยนี้ เป็นคนรุ่นใหม่พอสมควร เป้าหมายการทำงานทำเพื่อบ้านเมือง เพราะฉะนั้นฟอร์มครม.ออกมาทุกอย่างก็เดินไปสู่ข้างหน้า"นายสมคิด กล่าว