นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับนายไมตรี ศรีนราวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ว่า เป็นการติดตามความคืบหน้าแผนการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า 9 เส้นทาง มูลค่าประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งมอบหมายให้ สนข.จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานตามนโยบายของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องนำมาผสมผสานกับแผนโครงการรถไฟฟ้าเดิม 10 เส้นทางที่มีอยู่
ทั้งนี้ แผนงานดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์ เพราะขาดข้อมูลในส่วนของการต่อเชื่อมโครงการรถไฟฟ้าตามแผนแม่บทเดิมกับโครงการตามนโยบายนายกรัฐมนตรี ตนจึงสั่งการให้ สนข. จัดหาข้อมูลเพิ่มเติม และเสนอให้ตนพิจารณาในพรุ่งนี้ ซึ่งจะมีการประชุมร่วมกับนายสหัส บัณฑิตกุล รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมวันนี้ที่ประชุมจะกำหนดรายละเอียดโครงการ เช่น แนวเส้นทางรถไฟฟ้า รูปแบบการลงทุนร่วมกับเอกชน แผนการเงิน และระยะเวลาการดำเนินโครงการ เพื่อให้แผนการดำเนินงานมีความชัดเจนมากขึ้น และจะทำให้การดำเนินโครงการรถไฟฟ้ามีความรวดเร็ว และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
"การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการหารือครั้งแรกเกี่ยวกับแผนการดำเนินโครงการรถไฟฟ้า 9 เส้นทางตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี คาดว่าผลการประชุมจะทำให้แผนการดำเนินโครงการมีทิศทางการทำงานที่ชัดเจน และหน่วยงานที่รับผิดชอบจะได้นำไปจัดทำแผนรายละเอียดเพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการปฏิบัติต่อไป" นายสันติ กล่าว
ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลเบื้องต้น พบว่าการผสมผสานของแผนแม่บทรถไฟฟ้า และแผนรถไฟฟ้าตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงาน เพราะมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ จะมีส่วนต่อเติมจุดหมายปลายทางยาวไปจนถึงไทรน้อย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่อาศัยอยู่นอกเมืองให้สามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าได้มากขึ้น
ด้านนายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม กล่าวว่า หลังจากได้รับแบ่งงานแล้ว ตนจะหารือกับ พลอากาศโทชนะ อยู่สถาพร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. ท่าอากาศยานไทย(AOT) หรือ ทอท. เพื่อรับฟังข้อมูลปัญหาต่างๆ ที่ต้องเร่งแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาภายในท่าอากาศยานสุวรรณภุมิ และปัญหาข้อพิพาทกับบริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด และบริษัท คิงเพาเวอร์สุวรรณภูมิ จำกัด เพราะปัญหาเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของ ทอท.
ส่วนการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการ ทอท.นั้น เป็นความตั้งใจของกรรมการที่จะลาออก ตนไม่สามารถบังคับได้ แต่ยืนยันว่า หากกรรมการที่ลาออกเป็นผู้ที่มีความสามารถ ก็อาจแต่งตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง เพราะโดยหลักการทำงานนั้น ตนเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับทอท. ไม่ได้มีสาเหตุจากตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่มีสาเหตุมาจากโครงสร้าง และ การบริหารการจัดการมากกว่า
--อินโฟเควสท์ โดย คคฦ/เสาวลักษณ์/นิศารัตน์ โทร.0-2253-5050 ต่อ 322 อีเมล์: nisarat@infoquest.co.th--