ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจในสหรัฐได้แสดงความคิดเห็นว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือนที่แล้วนั้นไม่สามารถทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทและภาคครัวเรือนปรับตัวลดลงได้ ซึ่งอาจทำให้เฟดต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
มาร์ติน เฟลสทีน นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า "ข้อมูลของเมอร์ริล ลินช์ แอนด์ โค เรทส์ บ่งชี้ว่า บริษัทหลายแห่งมีต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มขึ้นแม้เฟดประกาศลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว 1.25% ทั้งนี้ แม้ว่าเฟดได้ลดดอกเบี้ยแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อคลี่คลายลงมากนัก"
"ผมคิดว่าเมื่อดูจากข้อมูลวัฏจักรเศรษฐกิจแล้ว โอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอยมีอยู่ 50-50" นายเฟลสทีนกล่าว
ขณะที่นายสตีเฟ่น เค็คเชตติ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจประจำมหาวิทยาลัยแบรนดิส รัฐแมสซาชูเซทส์ กล่าวว่า "ปัญหาในขณะนี้คือแม้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยแล้วหลายครั้งแต่ก็ยังไม่สามารถคลี่คลายวิกฤตการณ์ได้ ซึ่งผมคิดว่าเฟดจะต้องลดดอกเบี้ยลงอีก นี่เป็นสิ่งเดียวที่เฟดจะทำได้ในเวลานี้"
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า มีโอกาสถึง 100% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกอย่างน้อย 0.50% ในการประชุมวันที่ 18 มี.ค.นี้ โดยคาดว่าเฟดจะพิจารณาถึงภาวะตึงตัวในตลาดสินเชื่อเป็นเหตุผลสำคัญประกอบการตัดสินใจ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดแถลงเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดการเงินต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารแห่งรัฐสภาในวันพรุ่งนี้ โดยนายเฮนรี พอลสัน รมว.คลังสหรัฐ และนายคริสโตเฟอร์ ค็อกซ์ ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์สหรัฐมีกำหนดจะแสดงความคิดเห็นทางเศรษฐกิจด้วย เว็บไซต์บลูมเบิร์กรายงาน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.0-2253-5050 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--