ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า การส่งออกของไทยยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว เช่นเดียวกับหลายประเทศในภูมิภาคที่มูลค่าการส่งออกหดตัวต่อเนื่อง และหากพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าส่งออกในเดือน มิ.ย.62 พบว่าในหลายประเทศมีทิศทางหดตัวมากขึ้นจากตัวเลขในเดือน พ.ค.62 ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเกิดจากสงครามการค้าที่ยกระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งเดือน มิ.ย.62 เป็นเดือนแรกที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว
สำหรับมูลค่าการส่งออกของไทยในเดือน มิ.ย.62 เมื่อหักผลจากการส่งออกทองคำพบว่า มีทิศทางหดตัวมากขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้น SCB EIC ประเมินว่า สถานการณ์ส่งออกทั้งของไทยและของหลายประเทศผู้ส่งออกสำคัญในภูมิภาคยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัว
จากตัวเลขการส่งออกครึ่งปีแรกที่หดตัว -4.4% (ไม่รวมการส่งกลับอาวุธ) SCB EIC ประเมินว่า ยังเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับประมาณการที่คาดไว้ล่าสุด โดยคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีแม้การส่งออกจะไม่ได้มีสถานการณ์ดีขึ้น แต่จะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยฐานต่ำในช่วงครึ่งหลังของปี 61 ที่ภาวะสงครามการค้าได้เริ่มส่งผลกระทบ จึงทำให้คาดว่ามูลค่าการส่งออกทั้งปี 62 มีแนวโน้มหดตัวที่ -1.6%
อย่างไรก็ดี แม้สถานการณ์สงครามการค้าหลังการประชุม G20 เมื่อปลายเดือน มิ.ย.62 จะปรับตัวดีขึ้นบ้าง จากการที่จีนและสหรัฐฯ ได้ตกลงกลับเข้าสู่การเจรจาอีกครั้ง และไม่มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม แต่คาดว่าในระยะข้างหน้า ยังมีความไม่แน่นอนสูงจึงได้จัดทำการวิเคราะห์ในกรณีต่าง ๆ ซึ่งในกรณีฐานมีสมมติฐานว่าสถานการณ์ด้านสงครามการค้าจะไม่เปลี่ยนแปลงจากปัจจุบัน
แต่หากสถานการณ์เลวร้ายเพิ่มขึ้น โดยสมมติให้สหรัฐฯ มีการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าของสินค้าจีนมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐที่ 10% ก็จะทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยปี 2562 หดตัวเพิ่มขึ้นเป็น -2.3% ขณะที่ในกรณีเลวร้ายที่สุด คือสหรัฐฯ มีการเก็บภาษีเพิ่มเติมกับสินค้ากลุ่มดังกล่าวที่ 25% ก็จะทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยปี 62 หดตัวได้มากถึง -3.1%
นอกจากนี้ การส่งออกที่หดตัวต่อเนื่อง มีแนวโน้มทำให้ GDP ไตรมาส 2/62 ชะลอตัวจากไตรมาสแรก โดยหากพิจารณามูลค่าการส่งออกไม่รวมทองคำ (และหักผลของการส่งกลับอาวุธเดือน ก.พ.) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ส่งผลต่อ GDP โดยตรง พบว่าในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสองมีการหดตัวเท่ากันที่ -5.3%YOY สะท้อนว่าสถานการณ์ด้านส่งออกในช่วงไตรมาส 2 ยังไม่มีทิศทางดีขึ้นจากไตรมาสแรก
อย่างไรก็ดี การหดตัวที่ต่อเนื่องของภาคส่งออกได้เริ่มกระจายไปยังภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ เช่น การชะลอลงของภาคท่องเที่ยวและการลงทุนภาคเอกชน จึงทำให้คาดว่า GDP ไตรมาสที่ 2 จะมีแนวโน้มชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 2.8% ทั้งนี้อีไอซียังคงมุมมองอัตราการขยายตัว GDP ปีนี้ที่ 3.1%
สำหรับสมมติฐานของแรงกระตุ้นจากภาครัฐในกรณีฐานของ SCB EIC นั้น ประเมินว่าจะมีแรงกระตุ้นเพิ่มเติม 2 หมื่นล้านบาท (จากวงเงินที่รัฐบาลมีอยู่ภายใต้งบกลาง 8 หมื่นล้านบาท) ในช่วงครึ่งหลังของปี ดังนั้นหากรัฐบาลสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าคาด แรงกระตุ้นนี้ อาจเป็นความเสี่ยงเชิงบวกต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 62 โดยจากการประมาณการพบว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคขนาด 3 หมื่นล้านบาท จะทำให้ปีนี้ GDP เพิ่มขึ้นประมาณ 0.1%
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า มูลค่าการส่งออกไทยเดือน มิ.ย.62 โดยรวมหดตัวที่ -2.1% แต่หากหักทองคำ การส่งออกหดตัวถึง -8.7% (จากการส่งออกทองคำเดือน มิ.ย.ขยายตัวในระดับสูงถึง 317.4%) โดยหากไม่รวมการส่งกลับอาวุธไปยังสหรัฐฯ ในเดือน ก.พ. มูลค่าส่งออกของไทยหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 และในช่วงครึ่งแรกของปี 62 มูลค่าการส่งออกหดตัวที่ -4.4%
ขณะที่มูลค่าการนำเข้าหดตัวที่ -9.4% จากการหดตัวในทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงที่หดตัวถึง -18.8% โดยการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบก็มีการหดตัวเช่นกันที่ -11.3% และ -5.2% ตามลำดับ ซึ่งจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่ยังต่ำกว่ามูลค่าส่งออกสินค้า ทำให้ดุลการค้าเกินดุลที่ 3,212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา