นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรได้เพิ่มการให้บริการชำระอากรแสตมป์ทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 5 ตราสาร ทั้งนี้ เพื่อเป็นการผลักดันการทำตราสารอิเล็กทรอนิกส์อย่างเต็มรูปแบบ และสนับสนุน e-Business ของประเทศไทย ประกอบด้วย 1. จ้างทำของ 2. กู้ยืมเงินหรือการตกลงให้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร 3. ใบมอบอำนาจ 4. ใบมอบฉันทะสำหรับให้ลงมติในที่ประชุมของบริษัท และ 5. ค้ำประกัน
ตราสารอิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง 5 ประเภท สามารถยื่นขอชำระอากรได้ทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร และทาง Application Programming Interface (API) ผู้เสียอากรสามารถยื่นขอชำระอากรด้วยตนเอง หรือผ่านผู้ให้บริการ (Service Provider) ให้เป็นผู้ชำระอากรแทนก็ได้ โดยได้เปิดให้บริการชำระอากรแสตมป์ทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป ซึ่งจะสามารถชำระอากรได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนการจัดทำเอกสารด้วยกระดาษ ลดปัญหาการคำนวณมูลค่าอากรแสตมป์ผิดพลาด ส่งเสริมให้การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างสมบูรณ์ครบวงจร
ส่วนการชำระผ่านผู้ให้บริการ กรมสรรพากรได้จับมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรับชำระอากรแสตมป์ทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นรายแรก โดยร่วมพัฒนาเชื่อมต่อระบบการนำส่งข้อมูลตราสารอิเล็กทรอนิกส์ทาง API ที่มีปริมาณข้อมูลจำนวนมาก เพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
"ความร่วมมือกันระหว่างกรมสรรพากร และตลาดหลักทรัพย์ฯ ในครั้งนี้ เป็นการร่วมกันตอบสนองนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาลในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกระบวนการทำงาน ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ และกรมสรรพากรหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การให้บริการชำระอากรแสตมป์ทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์ จะสร้างความสะดวก รวดเร็ว และลดขั้นตอนการเสียอากรได้เป็นอย่างดี" อธิบดีกรมสรรพากรระบุ
ด้านนายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับตลาดทุนยุคดิจิทัล โดยบริษัท ฟินเน็ต อินโนเวชั่น เน็ตเวิร์ค จำกัด (FinNet) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดให้บริการชำระอากรแสตมป์เป็นตัวเงินสำหรับตราสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นรายแรก ชำระอากรแสตมป์ได้โดยเรียกใช้ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ที่เป็นมาตรฐาน (Application Programming Interface)
โดยความร่วมมือครั้งนี้ เป็นต้นแบบของการเป็นพันธมิตรระหว่างภาครัฐและเอกชน (public private partnership) เพื่ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจ (ease of doing business) โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานราชการอื่น เพื่อเป็นสะพานเชื่อมให้เป็นประโยชน์แก่ทุกภาคส่วน ตามวิสัยทัศน์ To Make the Capital Market Work for Everyone
ระบบการทำงานของ FinNet จะเชื่อมต่อกับกรมสรรพากร โดยผู้ใช้บริการจะได้รหัสรับรองการชำระอากรแสตมป์ผ่านระบบออนไลน์หลังจากทำการชำระค่าอากรแสตมป์ไปใช้อ้างอิงในเอกสารสัญญาเพื่อให้สัญญามีผลทางกฎหมาย โดยเริ่มเปิดให้บริการสำหรับธุรกรรม 3 ประเภท ได้แก่ 1) การมอบฉันทะเข้าประชุมผู้ถือหุ้น 2) การเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ และ 3) การกู้ยืมเงินเพื่อการซื้อขายหลักทรัพย์ และจะขยายไปยังธุรกรรมทุกประเภทในปี 2563
"ในลำดับต่อไป ระบบ FinNet จะให้บริการระบบเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มดิจิทัลไอดี ประกอบกับบริการอื่นด้านการชำระเงินที่จะเปิดตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะทำให้บริการในตลาดทุนลดการใช้กระดาษ และมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นายภากรระบุ