บล.กสิกรไทย ปรับเพิ่มเป้า SET ปีนี้เป็น 1,775 จุด คาดเศรษฐกิจไทย H2/62 โตดี จับตานโยบายรัฐบาล

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday July 25, 2019 17:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายภาสกร ลินมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บล.กสิกรไทย ยังคงมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยโดยรวม และปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ใน 12 เดือนข้างหน้าเป็น 1,775 จุด จากเดิม 1,725 จุด โดยมองว่าที่ผ่านมา SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 68 จุด ซึ่งทำให้ PER ของตลาดปรับเพิ่มขึ้นเป็น 16.22 เท่า ขณะที่ส่วนต่างผลตอบแทนตลาดยังคงเดิมที่ 4.2%

ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ ความตึงเครียดจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐและจีนที่รุนแรงขึ้น จนมีการใช้มาตรการตอบโต้ที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้างกว่ามาตรการภาษี รวมไปถึงการพลิกกลับของแนวโน้ม bond yield ของโลก

สำหรับอุตสาหกรรมที่แนะนำ คือ กลุ่มพาณิชย์ CPALL เพราะเชื่อว่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาล และจากโอกาสที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างจังหวัด ด้านกลุ่มสินค้าเกษตร เลือก CPF เป็นหุ้นเด่น เพราะมีราคาเนื้อสุกรที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ หลังจากมีการแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรในเวียดนาม ขณะที่กลุ่มรับเหมาโยธา เลือก CK และ STEC โดยมีโอกาสปรับตัวสูงจากการประมูลโครงการภาครัฐภายใต้รัฐบาลชุดใหม่

ขณะที่กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เลือก AMATA เพราะมีสถานะที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ ที่สูงขึ้นภายใต้รัฐบาลใหม่ และจากการย้ายฐานโรงงานจากจีน และสุดท้ายกลุ่ม ICT ชอบ DTAC และ TRUE เพราะคาดว่าตลาดจะมองบวกต่อทิศทางการเติบโตของรายได้ของอุตสาหกรรมมือถือมากขึ้น หลังจากมีการแข่งขันด้านราคาที่ผ่อนคลายลง ตลาดประเมินโอกาสการปรับลดของต้นทุนจากการยุติบริการ 2G ที่น้อยเกินไป

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เลือก KTB และ SCB เพราะคาดว่าอัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้ และค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ จะปรับตัวลดลง ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาสแรกที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่มกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ชอบ TFFIF เพราะมีอายุกองทุนเหลือ 29 ปี กระแสรายได้ที่มั่นคง ความผันผวนต่ำ

ด้านนายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ยังคงประมาณการค่าเงินบาทที่ใกล้เคียง 31 บาท/ดอลลาร์ แม้ว่ามาตรการลดการเก็งกำไรค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งผลให้ตราสารหนี้ระยะสั้นที่ต่างชาติถือครองอยู่ 120,000 ล้านบาท ลดลงเหลือ 80,000 กว่าล้านบาท ซึ่งถือว่ามาตรการดังกล่าวได้ผลดี และเป็นการส่งสัญญาณให้กับนักลงทุนที่เก็งกำไรค่าเงินบาทให้ระมัดระวังมากขึ้น จะส่งผลให้ช่วงที่ผ่านมาเงินบาทอ่อนค่าลง

แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นดอลลาร์ลดลง และทำให้นักลงทุนเลือกเข้าถือเงินบาท ซึ่งมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และแนวโน้มทางการเมืองที่ชัดเจนขึ้นทำให้ค่าเงินบาทยังมีปัจจัยสนับสนุนอยู่มาก ซึ่งนักลงทุนระยะยาวที่ไม่ได้มองการเก็งกำไรค่าเงินอย่างเดียวนั้น เมื่อเทียบตลาดตราสารหนี้ประเทศอื่น ก็จะยังคงมองตราสารหนี้ไทยเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และหากดูอัตราผลตอบแทนการเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวของไทย ยังให้ผลตอบแทนสูงกว่า 1% เมื่อเทียบกับ 24 ประเทศที่มีเครดิต BBB ในระดับเดียวกัน

สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตได้ราว 3% ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้เติบโต 3.1% โดยยังคงต้องรอผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีน และประเทศสหรัฐ รวมไปถึงภาพรวมการท่องเที่ยวที่ก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่ช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ อาจจะได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าด้วย

ส่วนนโยบายการเงินของประเทศไทยมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75% ต่อปีในปีนี้ สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตามอง คือ นโยบายของรัฐบาลที่จะออกมาหลังจากนี้ โดยเฉพาะการสนับสนุนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ