นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ในเดือนมิถุนายน 2562 จำนวนผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายน 2562 เป็นเดือนแรกที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ประเภทพิโกพลัส ซึ่งมีจำนวนรวม 53 ราย โดยผู้ขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 ประเภท ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
(1) สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกิน 36% ต่อปี (Effective Rate) (2) สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ประเภทพิโกพลัส มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ให้สินเชื่อแก่ประชาชนได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และเรียกเก็บดอกเบี้ย กำไรจากการให้สินเชื่อ ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมอื่นใด รวมกันได้ไม่เกิน 36% ต่อปี (Effective Rate) สำหรับวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทแรก และสำหรับวงเงินสินเชื่อที่เกินกว่า 50,000 บาท ให้เรียกเก็บได้ไม่เกิน 28% ต่อปี (Effective Rate)
นอกจากนี้ ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ทั้ง 2 ประเภทข้างต้น ยังสามารถให้บริการสินเชื่อโดยรับสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถเพื่อการเกษตรเป็นประกัน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน" หรือ "สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ" ได้ด้วย
นายพรชัย กล่าวว่า สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ จนถึง ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 มีจำนวนนิติบุคคลได้ยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนคำขออนุญาตทั้งสิ้น 1,100 ราย ใน 76 จังหวัด ซึ่งในจำนวนนี้เป็นคำขออนุญาตประเภทพิโกพลัสจำนวน 53 ราย ใน 23 จังหวัด สำหรับจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์และสินเชื่อประเภทพิโกพลัสมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 98 ราย กรุงเทพมหานคร 82 ราย ขอนแก่น 57 ราย
ทั้งนี้ มีจำนวนนิติบุคคลที่คืนคำขออนุญาตทั้งสิ้น 125 ราย ใน 51 จังหวัด จึงคงเหลือนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตสุทธิเป็นจำนวน 975 ราย ใน 75 จังหวัด และมีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 634 ราย ใน 71 จังหวัด โดยเป็นใบอนุญาตประเภทพิโกพลัส 6 ราย ใน 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร และสงขลา และประเภทพิโกไฟแนนซ์ 628 ราย ใน 71 จังหวัด มีผู้เปิดดำเนินการแล้วเป็นจำนวน 522 ราย ใน 66 จังหวัด (ประเภทพิโกพลัสจำนวน 3 ราย ประเภทพิโกไฟแนนซ์ จำนวน 519 ราย) และมีจำนวนผู้ประกอบธุรกิจที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 494 ราย ใน 65 จังหวัด
สถิติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2562 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสมจำนวน 91,166 บัญชี รวมเป็นจำนวนเงิน 2,361.10 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ยจำนวน 25,898.87 บาท ต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกันจำนวน 44,194 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 1,351.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 57.23% ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันจำนวน 46,972 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 1,009.94 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42.77% ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม
ในขณะที่มียอดสินเชื่อคงค้างรวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 15,850 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 424.28 ล้านบาท โดยมีสินเชื่อคงค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน จำนวน 1,511 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 39.69 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.35% ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อคงค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) จำนวน 859 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 19.71 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.65% ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม
สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินสำหรับเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบทดแทนหนี้นอกระบบรายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.85% ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 612,154 ราย เป็นจำนวนเงิน 27,206.41 ล้านบาท จำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 567,448 ราย เป็นจำนวนเงิน 25,279.57 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติให้กับผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จำนวน 44,706 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,926.84 ล้านบาท