กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 30.65-31.05 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 30.79 บาทต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 5.0 พันล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสุทธิ 4.2 พันล้านบาท ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% โดยระบุถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ระดับต่ำ
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า แม้ข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงตามคาดและค่าจ้างเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น จะเพิ่มแรงกดดันต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่อไป ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 10% จากสินค้าจีนมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. และอาจขึ้นภาษีนำเข้าอีกหากจีนไม่เร่งดำเนินการเพื่อบรรลุข้อตกลงการค้า ล่าสุด ทางการจีนตอบโต้ด้วยการปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าลงผ่านระดับจิตวิทยาที่ 7 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ สร้างความวิตกต่อการปะทุของสงครามการค้าและค่าเงินเต็มรูปแบบ
สำหรับปัจจัยในประเทศ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75% ในการประชุมวันที่ 7 ส.ค. ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าจีดีพีไตรมาส 2 เติบโตต่ำสุดของปีนี้ และมีโอกาสที่มูลค่าส่งออกปีนี้จะหดตัวหลังยอดนำเข้าในเดือนมิ.ย.ลดลงมาก นอกจากนี้ ธปท.ยืนยันว่ามีเครื่องมือพร้อมนำมาใช้ดูแลค่าเงินบาทหากจำเป็น และพร้อมจะปล่อยให้เงินบาทผันผวนไปตามกลไกตลาด เพื่อลดแรงจูงใจในการนำเงินเข้ามาพักไว้ในสินทรัพย์สกุลเงินบาท ขณะที่ทางการจะออกมาตรการดูแลปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนช่วงปลายปีนี้ อนึ่ง เรามองว่า กนง.กำลังเผชิญความท้าทายมากขึ้น ท่ามกลางความเสี่ยงด้านขาลงของเศรษฐกิจ และการจัดการเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว