น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อวานนี้ (7 ส.ค.) ทำให้ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ และไทยกลับไปสู่ใน 0.5 ซึ่งเท่าช่วงก่อนที่ FED จะลดอัตราดอกเบี้ย 2.0 - 2.25% (1 ส.ค.62) โดยประเมินว่าแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินบาทลดลง และเงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนตัวลงจากขณะนี้ ประกอบกับมาตรการเพื่อเฝ้าระวังเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นที่ออกมาก่อนหน้านี้ จะเป็นอีกกลไกหนึ่งเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินให้สอดคล้องกับสภาพปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและเอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับสู่กรอบเป้าหมาย
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวต่อว่า แนวโน้มค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าลง จะส่งผลทางตรงให้รายได้จากการส่งออก (ในรูปเงินบาท) ปรับตัวดีขึ้นจากระยะก่อน และมีผลทางอ้อมสนับสนุนให้สินค้าส่งออกของไทยการแข่งขันได้ดีขึ้น ส่งผ่านต่อเนื่องไปถึงเศรษฐกิจในประเทศ กระตุ้นภาคการผลิต และเพิ่มการจ้างงานต่อไป
นอกจากนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะที่เงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมาย ส่งผลให้ปริมาณเงินเพื่อการหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่ออุปสงค์การบริโภค และทำให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้ เมื่อรวมผลกระทบจากทางผลทางด้านรายได้จากการส่งออกที่มากขึ้น และราคานำเข้าที่สูงขึ้น ชี้ว่าทิศทางเงินเฟ้อน่าจะปรับสูงขึ้น (หากปัจจัยอื่นคงที่)
"ความไม่แน่นอนของข้อพิพาททางการค้า และสถานการณ์อื่นๆ อาจทำให้ค่าเงินยังมีความผันผวน ผู้ส่งออกควรพิจารณาทำประกันความเสี่ยง และจูงใจให้ผู้นำเข้าทำสัญญาระยะยาวเพื่อเป็นหลักประกันการซื้อขายประกอบด้วย เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ไม่คาดคิด" น.ส.พิมพ์ชนกกล่าว
พร้อมระบุว่า สัญญาณการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยครั้งแรกในรอบ 52 เดือน (ตั้งแต่ เม.ย.58) ชี้ว่าเศรษฐกิจโลกและไทยยังอยู่ในภาวะที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมรายได้อย่างตรงจุดและเสมอภาค รวมถึงการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในสถานการณ์ปัจจุบัน น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นได้
ทั้งนี้ การที่ธนาคารกลางจีนทะยอยปรับอัตรากลางเงินหยวนตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ส่งสัญญาณว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เริ่มขยายวงกว้างไปสู่สงครามการเงินและส่อเค้ายืดเยื้อไปอีกพักใหญ่ แม้ว่าธนาคารกลางจีนออกแถลงการณ์ปฏิเสธการจัดการค่าเงินเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการส่งออก และให้เหตุผลว่าค่าเงินหยวนสอดคล้องกับอุปสงค์อุปทานและพื้นฐานของเศรษฐกิจจีน
โดยค่าเงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันนี้ อัตรากลางล่าสุดเท่ากับ 7.0039 หยวนต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงอีกเล็กน้อยจากวันที่ 5 ส.ค.62 ที่ระดับ 6.9925 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งนับว่าอ่อนค่าที่สุดในรอบกว่า 10 ปี ตั้งแต่เมษายน 2551 และเป็นครั้งแรกที่ค่ากลางทะลุ 7.0 ซึ่งเป็นแนวต้านที่ธนาคารกลางเฝ้าระวังและกำกับดูแลมาตลอด
น.ส.พิมพ์ชนก ชี้ว่า การที่เงินหยวนอ่อนค่าทำให้สินค้าจีนมีราคาถูกลงโดยเปรียบเทียบ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถทางการแข่งขันของประเทศคู่แข่งรวมถึงไทย ในตลาดสหรัฐฯ และตลาดที่สาม
โดยในส่วนของกระทรวงพาณิชย์นั้น ได้มีการเตรียมมาตรการดูแลและกระตุ้นการส่งออก รวมถึงการค้าชายแดน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่มีสัดส่วนต่อการส่งออกค่อนข้างสูง เพื่อกระจายความเสี่ยงตลาดส่งออก และลดการพึ่งพาตลาดเดิม อีกทั้งการลดอุปสรรคทางการค้าก็เป็นอีกมาตรการเร่งด่วนที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจของภาคเอกชน โดยในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ. พาณิชย์) ในวันที่ 14 ส.ค.62 นี้จะได้หารือในรายละเอียดและกำหนดแนวทาง เพื่อขับเคลื่อนสู่ภาคปฏิบัติต่อไป