ศูนย์วิจัย ธ.ก.ส.คาดราคาข้าว-น้ำตาลทรายดิบ-สุกร-ยางแผ่นดิบ-มันสำปะหลัง เดือนส.ค.มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 8, 2019 17:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมเกียรติ กิมาวหา ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตร เดือนสิงหาคม 2562 ที่จัดทำโดย ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม ธ.ก.ส. พบว่า สินค้าเกษตรที่จะมีราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกหอมมะลิ คาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3.89-8.61% อยู่ที่ราคา 16,098-16,828 บาท/ตัน เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรง ทำให้ผลผลิตข้าวเปลือกหอมมะลิลดลง ขณะที่ความต้องการจากต่างประเทศยังคงมีอย่างต่อเนื่อง อาทิ ประเทศสหรัฐอเมริกา ฮ่องกง และแคนาดา

ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว คาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 4.90-5.91% อยู่ที่ราคา 12,548-12,668 บาท/ตัน เนื่องจากภาวะภัยแล้งอาจทำให้ผลผลิตข้าวเหนียวนาปีไม่เพียงพอต่อการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ

น้ำตาลทรายดิบตลาดนิวยอร์ก คาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 5.00-9.00% อยู่ที่ราคา 12.16-12.63 เซนต์/ปอนด์ (8.33-8.65 บาท/กก.) ตามการเข้าซื้อของนักเก็งกำไรจากความกังวลว่าปริมาณผลผลิตอ้อยในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากปริมาณผลผลิตอ้อยของอินเดียที่จะเก็บเกี่ยวได้รับความเสียหายจากมรสุม ขณะที่ผลผลิตอ้อยของไทยในปีการผลิต 2562/63 มีแนวโน้มลดลงจากการภาวะภัยแล้งและการลดพื้นที่เพาะปลูกอ้อย

สุกร คาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.50–1.50% อยู่ที่ราคา 71.50–72.50 บาท/กก. เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนยังมีความกังวลกับข่าวการเกิดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ระบาดในไทย แม้กรมปศุสัตว์จะมีการแจ้งข้อมูลว่ายังไม่พบการระบาดในไทย จึงได้งดการเลี้ยงสุกรเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงส่งผลให้ปริมาณผลผลิตสุกรในประเทศลดลง

ยางพาราแผ่นดิบ คาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.47–2.25% อยู่ที่ราคา 46.97–47.33 บาท/กก.เนื่องจากมาตรการของภาครัฐที่มีบทบาทในการกระตุ้นและส่งเสริมการใช้ยางพาราภายในประเทศ ส่งผลให้ราคายางพารามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากสงครามการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐฯ ทำให้ราคาอาจปรับตัวลดลงได้

และมันสำปะหลัง คาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.60-3.03% อยู่ที่ราคา 1.66-1.70 บาท/กก. เนื่องจากคาดว่าจะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในพื้นที่เพาะปลูกสำคัญ ส่งผลต่อเชื้อแป้งในหัวมันสำปะหลังมีคุณภาพเพิ่มขึ้นประกอบกับโรงงานมันสำปะหลังเริ่มกลับมาทยอยรับซื้อมันสำปะหลังเพิ่มขึ้น หลังจากที่ลดการรับซื้อผลผลิตไปในช่วง 2 เดือนก่อนที่ปริมาณผลผลิตมันสำปะหลังลดลง

ด้านสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าความชื้น 15% คาดว่าราคาจะลดลงจากเดือนก่อน 0.25-0.80% อยู่ที่ราคา 7,636-7,679 บาท/ตัน เนื่องจากประเทศจีนระบายข้าวในสต็อกออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง และเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของข้าวไทย

ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% คาดว่าราคาจะปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 1.00-2.50% อยู่ที่ราคา 7.61-7.73 บาท/กก. เนื่องจากผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน จะเริ่มเก็บเกี่ยวและทยอยออกสู่ตลาดในช่วงปลายเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ตาม พื้นที่เพาะปลูกบางส่วนได้รับความเสียหายจากภัยแล้ง ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตอาจออกสู่ตลาดน้อยลง และราคาที่เกษตรกรขายอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ปาล์มน้ำมัน คาดว่าราคาจะลดลงจากเดือนก่อน ร้อยละ 10.52–1.75 อยู่ที่ราคา 2.55 - 2.80 บาท/กก. เนื่องจากปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ยังคงมีจำนวนมาก ขณะที่ความต้องการใช้ของโรงงานสกัดทรงตัว ส่งผลให้โรงงานสกัดไม่สามารถรับซื้อผลผลิตเพิ่มได้ (ทั้งนี้ เป็นราคาที่คาดการณ์ก่อนนโยบายโครงการประกันราคาปาล์มน้ำมันของรัฐบาล)

และกุ้งขาวแวนนาไม คาดว่า ราคาจะลดลงจากเดือนก่อน 1.82 – 3.18% อยู่ที่ราคา 142.00 – 144.00 บาท/กก. เนื่องจากภาวะการค้าภายในประเทศและการส่งออกชะลอตัว ส่งผลให้ห้องเย็นชะลอการรับซื้อ ประกอบกับยังมีกุ้งอยู่ในสต็อกเพียงพอกับการแปรรูป ทำให้ความต้องการกุ้งขาวแวนนาไม ในเดือนนี้ลดลง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ