นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ระบุว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และให้การเติบโตกระจายไปอย่างครอบคลุมทั่วถึง ดังนั้นอยากให้ในส่วนของตลาดทุน โดย SET50 เข้ามามีบทบาทในการเป็นหัวหอกเพื่อช่วยพัฒนาการลงทุนของประเทศให้มีศักยภาพมากขึ้น "อยากให้มาร่วมกันคิดและช่วยกันทำทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่คนตัวเล็ก วิสาหกิจชุมชน สตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี ตลาดทุนมีศักยภาพมาก ทั้งกำลังพล กำลังทุน ถ้าเรามาบูรณาการร่วมกัน กระทรวงการคลัง และกระทรวงอุตสาหกรรม มันจะเป็นพลัง แล้วงานใหญ่จะเดินหน้าได้" รมว.คลัง กล่าวในการมอบนโยบาย "บทบาทตลาดทุนไทยและความคาดหวังเกี่ยวกับธรรมาภิบาล และความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน" พร้อมระบุว่า รัฐบาลจะพยายามผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันอย่างเป็นรูปธรรมได้ภายในปีนี้ นอกจากนี้ ยังต้องการให้ SET50 มาช่วยกันสร้างกระบวนการรับรู้ และความรอบรู้เกี่ยวกับตลาดทุน ตลาดเงินให้แก่ประชาชนในวงกว้าง เพื่อให้ทราบถึงทักษะในการลงทุน และการออมที่เหมาะสม เพื่อไปเชื่อมโยงกับกระบวนการกำกับดูแลที่เป็นธรรมาภิบาลซึ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ดำเนินการอยู่แล้วให้เป็นเนื้อเดียวกัน รมว.คลัง เชื่อว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางตลาดเงินและตลาดทุนในภูมิภาคนี้ ที่สำคัญคือต้องทำให้เกิดขึ้นจริง เพราะหากเป็นได้จริงจะช่วยในการปฏิรูปประเทศได้อย่างมาก ทั้งนี้เห็นว่าภาครัฐมีส่วนสำคัญที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในด้านกฎระเบียบต่างๆ ให้เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนในประเทศ ขณะเดียวกันตัวผู้ประกอบการเองก็ต้องสร้างความน่าสนใจด้วยการเร่งพัฒนาตัวเองด้วย "กองทุนขนาดใหญ่ นักลงทุนต่างประเทศ เขาไม่ได้มองว่าประเทศไทยมีโอกาสแค่ไหนอย่างไร แต่เขามองยาว ว่าถ้าเขาจะลงทุนในประเทศไทย มีการปรับตัวหรือไม่ ทำธุรกิจได้ง่ายขึ้นหรือไม่ แน่นอนเรามีกฎเกณฑ์ของเราที่จะดูแล และคิดว่านักลงทุนเข้าใจ" นายอุตตมกล่าว
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ยืนยันว่ารัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกมาตรการในการดูแลตลาดทุนเป็นพิเศษ แม้ในขณะนี้ตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนมาก เนื่องจากมองว่านักลงทุนสามารถบริหารการลงทุนตามกลไกตลาดได้เอง แต่ทั้งนี้ รัฐบาลควรสื่อสารและทำความเข้าใจกับนักลงทุนถึงแนวทางในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลให้ชัดเจน โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังจะออกมา โดยควรดำเนินการให้เกิดความชัดเจนโดยเร็วที่สุด เนื่องจากปัจจัยในประเทศจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักมากกว่า ปัจจัยขับเคลื่อนจากภายนอก "รัฐบาลไม่ต้องทำอะไร เพราะมองว่าหุ้นไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี เพียงแต่ต้องสื่อสารให้มากขึ้นว่าจากนี้ไปจะทำอะไรบ้าง ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลมีเม็ดเงินเพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่"นายไพบูลย์ กล่าว พร้อมยอมรับว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงวานนี้เกิดจากบรรยากาศความไม่แน่นอนของทั่วโลกทั้งปัญหาสงครามการค้า ความขัดแย้งในฮ่องกง การเลือกตั้งใหม่ของอาเจนติน่าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำคนใหม่ ที่มีการดำเนินนโยบายประชานิยมสูง รวมถึงการเลือกตั้งในอิตาลีที่จะมาถึงด้วย ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐว่าฟื้นตัวหรือไม่ ดังนั้นตลาดหุ้นทั่วโลก จึงยังมีความผันผวน รวมถึงตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ที่ยังมีความเสี่ยงจากการลงทุนอยู่สูงเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนจะต้องระมัดระวังการลงทุนให้เหมาะสม ทั้งนี้ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ยังคาดว่าดัชนีหุ้นไทยในช่วงสิ้นปีนี้ จะอยู่ที่ 1,750 - 1,800 จุด ตามที่คาดการณ์ไว้เดิมได้ เนื่องจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลดความแข็งกร้าวลงจากที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นได้