นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างมอบนโยบายให้กับผู้บริหารกระทรวงพลังงานว่า ในการจัดทำแผนพลังงานควรมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก เพราะเชื่อว่าพลังงานฟอสซิลคงมีใช้อีกไม่ถึง 20 ปี ดังนั้นจึงต้องแสวงหาพลังงานทางเลือกใหม่เพิ่มเติม เพื่อสร้างสมดุลและความมั่นคง โดยมีแนวทางใดที่จะสร้างสมดุลเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานในภูมิภาค เป็นที่พึ่งพิงของประเทศเพื่อนบ้านอย่างแท้จริง อีกทั้งกำหนดนโยบายที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและความยากจน
นอกเหนือจากนโยบายของกระทรวงฯ แล้วได้ขอให้ไปดูเรื่องการนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีสถานะเป็นบวกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันถูกลง โดยเห็นว่าควรนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่าเป็นเงินฝากกินดอกเบี้ย
นายสมคิด ยังฝากให้ บมจ.ปตท. (PTT) ดำเนินการเรื่องปุ๋ยสั่งตัดเพื่อช่วยลดต้นทุนให้แก่เกษตรกร ซึ่งหาก ปตท.ขาดผู้เชี่ยวชาญก็ให้แสวงหาความร่วมมือจากต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนทำห้องเย็น การเปิดสถานีบริการน้ำมันเพื่อเป็นจุดขายสินค้าชุมชน
"ปตท.ควรใช้โอกาสนี้ลงทุนเพื่อสร้างความเข้าใจอันดีกับชุมชน เพื่อลบภาพลักษณ์ที่ไม่ดี" นายสมคิด กล่าว
อย่างไรก็ตาม ตนเองอยากฝากให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.), ปตท.ที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่เข้ามาสนับสนุนเรื่องสตาร์ทอัพให้มากขึ้น
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตนเองจะเดินทางไปมอบนโยบายให้กับผู้บริหาร ปตท.และ กฟผ. โดยเฉพาะนโยบายที่เป็นเรื่องแนวคิดนอกกรอบ เช่น การสร้างสตาร์ทอัพ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร
ส่วนเรื่องการให้สัมปทานปิโตรเลียมนั้นตามเป้าหมายจะดำเนินการให้เสร็จเรียบร้อยภายในปี 2565
"กำลังดำเนินการเร่งรัด เพราะเรื่องล่าช้ามานานมาก พยายามทำให้เสร็จในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรี" นายสนธิรัตน์ กล่าว