นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนี SMEs ประจำไตรมาส 2/2562 ปรับลดทุกด้าน ทั้งสถานการณ์ธุรกิจ ความสามารถในการทำธุรกิจ ความยั่งยืนของธุรกิจ และความสามารถในการแข่งขัน
โดยดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ ไตรมาส 2/2562 อยู่ที่ 42.7 ปรับตัวลด 1.0 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (1/2562) และคาดไตรมาส 3/2562 จะอยู่ที่ 41.9 เมื่อจำแนกตามลักษณะการเป็นลูกค้า พบว่า กลุ่มที่ไม่ใช่ลูกค้าของ ธพว. ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจปรับจากระดับ 37.4 มาอยู่ที่ระดับ 36.2 ส่วนกลุ่มที่เป็นลูกค้า ธพว. ดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ จากระดับ 49.0 มาอยู่ที่ระดับ 48.0
ด้านดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจ ไตรมาสที่ 2/2562 อยู่ที่ระดับ 48.8 ปรับตัวลดลง 1.1 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และคาดไตรมาส 3/2562 จะอยู่ที่ 48.1 เมื่อจำแนกตามลักษณะการเป็นลูกค้า พบว่า กลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธพว. ดัชนีความสามารถในการทำธุรกิจจากระดับ 42.2 มาอยู่ที่ระดับ 40.8 ขณะที่กลุ่มที่เป็นลูกค้า ธพว. จากระดับ 57.8 มาอยู่ที่ระดับ 56.8
และด้านดัชนีความยั่งยืนของธุรกิจ ไตรมาสที่ 2/2562 อยู่ที่ระดับ 51.8 ปรับตัวลดลง 0.7 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และคาดไตรมาส 3/2562 จะอยู่ที่ 50.8 เมื่อจำแนกลักษณะตามการเป็นลูกค้า พบว่า กลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธพว. ดัชนีจากระดับ 45.3 มาอยู่ที่ระดับ 44.5 ขณะที่กลุ่มที่เป็นลูกค้า ธพว. จากระดับ 59.6 มาอยู่ที่ระดับ 59.1
ทั้งนี้ จาก 3 ดัชนีข้างต้น นำมาสู่ ดัชนีความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ไตรมาสที่ 2/2562 พบว่า อยู่ที่ระดับ 47.8 ปรับตัวลดลง 0.9 จุด เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และคาดว่าในไตรมาสที่ 3/2562 จะอยู่ที่ระดับ 46.9 เมื่อจำแนกตามลักษณะการเป็นลูกค้า พบว่า กลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธพว. ดัชนีความสามารถในการแข่งขัน ลดลงจาก 41.6 มาอยู่ที่ 40.5 ส่วนลูกค้า ธพว. ดัชนีความสามารถในการแข่งขัน จาก 55.5 มาอยู่ที่ 54.7
อนึ่ง ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank สำรวจดัชนีสถานการณ์ธุรกิจ SMEs และดัชนีความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ SMEs ประจำไตรมาสที่ 2/2562 จาก 1,239 ตัวอย่างทั่วประเทศ
ขณะที่ กลุ่มตัวอย่างระบุถึงความต้องการ ความช่วยเหลือ สนับสนุนหรือพัฒนากิจการจากภาครัฐในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมอาชีพให้แก่ประชาชน สร้างความเชื่อมั่นให้นักธุรกิจ, ด้านการท่องเที่ยว เช่น ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศ กระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว อนุรักษ์ธรรมชาติ, ด้านสินเชื่อ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ การลดอัตราดอกเบี้ย และการสนับสนุนเงินกู้ ส่งเสริมความสามารถในการลงทุนการทำธุรกิจ และด้านสินค้าและบริการ เช่น สนับสนุนสินค้าไทย เพิ่มการพัฒนาการ ผลิตสินค้าในชุมชน สนับสนุนเงินลงทุน และขยายแหล่งส่งออกสินค้า
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ผลสำรวจดังกล่าวดำเนินการก่อนที่รัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เมื่อมีมาตรการกระตุ้นดังกล่าวออกมาแล้ว เชื่อว่า จะมีส่วนสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นช่วยให้คนมีรายได้และเพิ่มการใช้จ่ายมากขึ้น นักท่องเที่ยวมากขึ้น ธุรกิจมีสภาพคล่องและรายได้มากขึ้น ต้นทุนธุรกิจลดลงจากภาระอัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้สถานการณ์ของ SMEs ไทยขยับปรับดีขึ้น
ด้านนายพงชาญ สำเภาเงิน รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวว่า จากผลสำรวจดังกล่าว กลุ่มเอสเอ็มอีที่เป็นลูกค้า ธพว. ค่าเฉลี่ยดัชนีทุกด้านยังสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ธพว. เนื่องจากธนาคารมีกระบวนการพัฒนาผู้ประกอบการคู่กับการให้เงินกู้ เช่น การจัดอบรม จับคู่ธุรกิจ ช่วยขยายตลาด และต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ทำให้ลูกค้า ธพว. มีศักยภาพ สามารถปรับตัวทันโลกธุรกิจยุคใหม่ ดังนั้น ธนาคารจะเดินหน้าแนวทางพัฒนาผู้ประกอบการต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการมีภูมิคุ้มกันทางธุรกิจ ลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ควบคู่กับเติมทุนด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สร้างโอกาสนำไปใช้เสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงธุรกิจ หรือเป็นทุนหมุนเวียน ช่วยเพิ่มศักยภาพให้สามารถปรับตัวก้าวข้ามอุปสรรคที่เกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ ธนาคารเตรียมผลิตภัณฑ์สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษไว้รองรับ เช่น สินเชื่อนิติบุคคล555 วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ดอกเบี้ยเฉลี่ย 7 ปี อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.479%ต่อเดือน สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน คิดดอกเบี้ยถูก นิติบุคคล 3 ปีแรกเพียง 0.25% ต่อเดือน และบุคคลธรรมดา 3 ปีแรกเพียง 0.42% ต่อเดือน เป็นต้น ตั้งเป้าว่า ภายในปีนี้จะสนับสนุนผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุนได้กว่า 60,000 ล้านบาท