ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดว่า ปริมาณส่งออกข้าวไทยปี 62 จะอยู่ที่ 8.5 ล้านตัน ลดลง 23% จากปีก่อน โดยในช่วงเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2562 ปริมาณการส่งออกข้าวไทยอยู่ที่ 4.9 ล้านตัน ลดลง 22% เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2561 คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 2,597 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 19% เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยปริมาณผลผลิตข้าวที่ลดลงจากภาวะภัยแล้ง รวมทั้งความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของข้าวไทยที่ลดลงตามราคาข้าวในประเทศที่สูงขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ส่งผลให้การส่งออกข้าวไทยหดตัว
ขณะที่มองว่า โครงการประกันรายได้ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้มีมติอนุมัติวานนี้นั้น น่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ชาวนาได้บางส่วน โดยมองว่า ชาวนาที่ปลูกข้าวเจ้า น่าจะได้รับผลประโยชน์จากโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมากที่สุด โดยได้รับเงินชดเชยส่วนต่างราคาข้าวเพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากราคาตลาดโดยเฉลี่ยในปัจจุบัน ในขณะที่ชาวนาผู้ปลูกข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวจะได้รับผลประโยชน์จากโครงการนี้น้อยกว่า เนื่องจากราคาตลาดโดยเฉลี่ยในปัจจุบันของข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวใกล้เคียงกับราคาประกันแล้ว อีกทั้งราคาตลาดของข้าวเหนียวก็ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2019 เป็นต้นไป ราคาตลาดโดยเฉลี่ยของข้าวเหนียวน่าจะปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่า 12,000 บาท/ตัน ซึ่งเป็นราคาประกัน ทั้งนี้ SCB EIC คาดว่า หากสถานการณ์ภัยแล้งยังไม่รุนแรงขึ้นกว่า ณ ปัจจุบัน โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/2563 รอบที่ 1 นี้ น่าจะใช้งบประมาณ 19,000 ล้านบาท แต่หากสถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงขึ้น โครงการนี้ก็น่าจะใช้งบประมาณลดลง เนื่องจากผลผลิตข้าวลดลง
ทั้งนี้ราคาข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวที่อยู่ในระดับสูงนี้ เป็นผลมาจากปริมาณผลผลิตที่ลดลงจากสถานการณ์ภัยแล้งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงในฤดูฝนที่ผ่านมา โดยปริมาณน้ำในเขื่อนในช่วงฤดูฝนในปีนี้ ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูกข้าวหอมมะลิ และข้าวเหนียวที่สำคัญ มีปริมาณน้ำน้อยใกล้เคียงกับปี 2557 ซึ่งเป็นปีที่แล้งที่สุดในรอบ 10 ปี ส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตข้าวได้รับความเสียหายจำนวนมาก โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ระบุว่า ณ เดือนสิงหาคม 2562 นาข้าวเสียหายสิ้นเชิงจากภัยแล้ง 600,000 ไร่ คิดเป็น 9% ของพื้นที่ปลูกข้าวทั่วประเทศ
SCB EIC ระบุว่า แม้จะมีโครงการประกันรายได้ และเงินช่วยเหลือต้นทุนการผลิต ซึ่งช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวนาในระยะสั้น แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับมาตรการระยะยาวควบคู่กันไป ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบในพื้นที่แหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญ รวมถึงการขยายพื้นที่ชลประทานให้เพียงพอ นอกจากนี้ ภาครัฐยังต้องส่งเสริมการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ เพื่อรับมือต่อการแข่งขันส่งออกข้าวในตลาดโลกที่รุนแรง รวมถึงส่งเสริมการเพาะปลูกข้าวราคาสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการบริโภคข้าวของตลาดโลก เช่น ข้าวกล้อง ข้าวออร์แกนิค ข้าวสี ข้าวดัชนีน้ำตาลต่ำ กข.43 เป็นต้น มากขึ้น ซึ่งข้าวกลุ่มดังกล่าวยังต้องการการยกระดับประสิทธิภาพการเพาะปลูก เพื่อลดต้นทุนและได้ผลผลิตเพียงพอต่อการส่งออกอีกด้วย
"การบริหารจัดการภาวะภัยแล้งยังเป็นประเด็นสำคัญเร่งด่วนมากกว่า โดยยังต้องจับตาในช่วงที่เหลือของปีนี้ หากสถานการณ์ภัยแล้งในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความรุนแรงขึ้น จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตข้าวนาปีในปี 2562/2563 อย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ปริมาณผลผลิตข้าวที่จะมาเข้าโครงการประกันรายได้ในรอบนี้อาจไม่สูงมากนัก ซึ่งจะทำให้โครงการนี้ไม่ได้ช่วยยกระดับรายได้ให้กับชาวนาได้อย่างเต็มที่" SCB EIC ระบุ