นักวิเคราะห์คาดจีนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ

          นักวิเคราะห์จากหลายสำนักต่างคาดการณ์ในทิศทางเดียวกันว่า แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของจีนที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางจีนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอี แม้ว่าในปีนี้เศรษฐกิจทั่วโลกซึ่งนำโดยสหรัฐจะชะลอตัวลงก็ตาม 
          โดยนักวิเคราะห์กล่าวว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของจีนจะใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าโดยเร็วเพื่อสกัดกั้นภาวะเงินเฟ้อ หลังจากที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนม.ค.พุ่งทะยานขึ้น 7.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งนับเป็นระดับสูงสุดในรอบ 11 ปี
          นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สำนักงานสถิติแห่งชาติ(NBS) จะประกาศตัวเลขเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น 7-7.5% หลังจากที่พายุหิมะกระหน่ำรุนแรงได้สร้างปัญหาด้านการจรจรและส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหารตั้งแต่กลางเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
          จิง อัลริช นักวิเคราะห์จากเจพี มอร์แกนกล่าวว่า "ขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่าจีนจะผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มทางการเงิน จนกว่าผลผลิตอาหารจะกลับคืนสู่ภาวะปกติและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะแผ่วลง
          ขณะที่โกลด์แมน แซคส์กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อของจีนจะยิ่งเลวร้ายลงอีกในเดือนก.พ.      
          "ผลกระทบด้านเงินเฟ้อจากเหตุพายุหิมะอาจไม่ได้สะท้อนถึงตัวเลขเงินเฟ้อเดือนม.ค.ทั้งหมด ขณะที่ดัชนี CPI เดือนก.พ. ซึ่งมีกำหนดจะรายงานในวันที่ 1 มี.ค. มีแนวโน้มว่าจะพุ่งขึ้นเหนือระดับ 7% และอาจพุ่งใกล้ระดับตัวเลข 2 หลัก"
          ทั้งนี้ ราคาอาหารซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของดัชนี CPI เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ โดยราคาอาหารพุ่งทะยานขึ้น 18.2% ในเดือนม.ค.เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ราคาสินค้าไม่นับรวมอาหารอยู่ที่ระดับ 1.5% ขณะเดียวกันสำนักงานสถิติแห่งชาติประกาศวานนี้ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ปรับตัวสูงขึ้นในเดือนม.ค.ที่ระดับ 6.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี  
          สำนักข่าวซินหัว ไฟแนนซ์รายงานว่า เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทางการจีนได้ปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าเร็วขึ้น เพื่อสกัดกั้นการขยายตัวของเงินเฟ้อ โดยในเดือนม.ค. เงินหยวนแข็งค่าขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นการแข็งค่าขึ้นเร็วที่สุดนับตั้งแต่จีนยกเลิกนโยบายผูกติดเงินหยวนกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในเดือนก.ค.ปี 2548