นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บิทคับ แคปปิตอลกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เว็บไซต์เทรดเงินสกุลดิจิทัล (คริปโต เคอร์เรนซี่) ในไทยที่ได้รับอนุญาตเป็นทางการภายใต้ชื่อ "Bitkub"เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า จากกรณีบริษัท บิทคอยน์ จำกัด ประกาศยุติการประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ให้บริการผ่านเว็บไซต์ BX.in.th เมื่อวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา ล่าสุดมีผู้ลงทุนโอนย้ายเข้ามาใช้บริการเปิดบัญชีกับ Bitkub เฉลี่ยวันละ 25,000 บัญชี ส่งผลให้ล่าสุด Bitkub ก้าวขึ้นมาเป็นเว็บไซต์เทรดคริปโตในไทยอันดับ 1 ที่ได้รับอนุญาตเป็นทางการ
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีจำนวนผู้ลงทุนมาเปิดบัญชีกับ Bitkub ไม่ต่ำกว่า 200,000 บัญชี เติบโตขึ้นเป็นเท่าตัวจากปัจจุบันที่มีประมาณ 100,000 บัญชี และนับว่าเติบโตเร็วกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะไปถึง 200,000 บัญชีในช่วงสิ้นปี 63
"แนวโน้มธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลยังมีโอกาสเติบโตได้อีกในอนาคตตามรายได้ค่าธรรมเนียมเข้ามาเพิ่มขึ้น แม้ว่ามีกระแสข่าวเกี่ยวกับเกณฑ์ของทางการไม่เอื้อประโยชน์กับการประกอบธุรกิจ แต่โดยส่วนตัวมองว่าเป็นสิ่งเรื่องที่ดีที่ทางการเข้ามาดูและกำกับเพื่อปกป้องผลประโยชน์ผู้ลงทุนเป็นสำคัญ และในกรณีที่ผู้ลงทุนหันไปใช้บริการกระดานเทรดคริปโตของต่างประเทศ มองว่าเป็นสิ่งที่อันตรายมากกว่า เพราะจะไม่มีการแจ้งล่วงหน้าให้กับผู้ลงทุนทราบว่าจะปิดตัวอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ซึ่งมีความแตกต่างจากของไทยที่มีรายงานล่วงหน้าก่อน 1 เดือนเหมือนกับในกรณีของบริษัท บิทคอยน์ จำกัดในครั้งนี้"นายจิรายุส กล่าว
อนึ่ง ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ให้บริการเงินคริปโตในประเทศไทยได้รับอนุญาตเพียง 4 รายเท่านั้น หลังจาก BX.in.th ปิดบริการไปก็จะเหลือเพียง 3 ราย คือ bitkub.com, satang.pro, และ coins.co.th
สำหรับบริษัท บิทคอยน์ จำกัด ได้ตัดสินใจยุติบทบาทการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือการให้บริการด้านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Asset Wallet) เนื่องจากบริษัทฯเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาธุรกิจในทางอื่นๆ แทนการประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ดังนั้นภายหลังจากวันที่ 30 ก.ย.62 ลูกค้าจะไม่สามารถทำการซื้อขาย, แลกเปลี่ยนผ่านเว็บไซต์ BX.in.th ได้อีกต่อไป แต่ลูกค้ายังคงทำคำสั่งถอนได้ตามปกติ