ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า (บีทีเอส) ที่เสียงข้างมากเห็นควรให้ ขยายสัมปทานทางด่วนเพื่อเป็นการยุติข้อพิพาททั้งหมดระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กับบมจ. ทางด่วนและรถไฟฟ้า (BEM) แต่ไม่เห็นด้วยกับการขยายสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวของบีทีเอส ด้วยคะแนน 412 ต่อ 25 งดออกเสียง 20 คะแนน ก่อนเสนอรายงานวิสามัญฯให้ ครม.พิจารณาต่อไป
นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ได้ชี้แจงว่า ผลการพิจารณาศึกษาเรื่องการขยายสัมปทานทางด่วน กรรมาธิการฯ ส่วนใหญ่เห็นว่าควรขยายเวลาสัมปทานทางด่วนเพื่อยุติข้อพิพาททั้งหมดระหว่าง กทพ.และ BEM
ขณะที่ กรรมาธิการฯ เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะให้ กทม.ขยายสัญญาสัมปทานเดินรถไฟฟ้าบีทีเอส เนื่องจากสัญญาสัมปทานเส้นทางหลักยังเหลือเวลาอีกหลายปีจึงจะสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน จึงยังมีเวลาที่จะเจรจากันเพื่อให้ภาครัฐได้ประโยชน์สูงสุด
นายวีระกร ยอมรับว่าหนักใจที่รับทั้ง 2 เรื่อง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันมาพิจารณาร่วมกัน และมีเวลาพิจารณาเพียง 45 วัน ทั้งนี้ ความเห็นของกรรมาธิการฯ มีความหลากหลายและแตกแยกเป็นหลายประเด็น ดังนั้น ผลการศึกษาและข้อสังเกตของกรรมาธิการฯ จึงออกมาลักษณะดังกล่าว
ด้านนายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการฯ เสียงข้างมาก ยืนยันว่า กรรมาธิการฯ หวังดีต่อประเทศชาติ คำนึงผลประโยชน์ประชาชน ทั้งนี้ที่ ส.ส. กล่าวหาว่า กมธ.รับเงิน ยืนยันไม่เป็นเรื่องจริง ทำงานตรงไปตรงมา และไม่กลัวเรื่องการดำเนินคดี
อย่างไรก็ตามในระหว่างการอภิปราย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้ท้วงติงข้อสังเกตของกรรมาธิการฯ ที่ขัดแย้งและไม่เป็นเอกภาพ ทำให้อาจมีปัญหาต่อการส่งรายงานให้หน่วยงานไปปฏิบัติ ทั้งนี้หน่วยงานอาจรับข้อสังเกตได้
"45 วันที่กรรมาธิการฯ ทำงาน ไม่บอกสิ่งที่อยากรู้ หากสภาฯ ให้ความเห็นรายงานฉบับนี้อาจถูกตีความการทำงานได้ แม้ว่ารายงานของสภาฯ จะไม่มีผลผูกมัดใดๆ ต่อหน่วยงาน สัญญาสัมปทานทางด่วน อนุมานว่าเสียงส่วนรวมควรต้องต่อ เพื่อไม่ให้แพ้คดี หลังจากที่มีคดีแรกมีคำตัดสินแล้ว
ขณะที่การขยายสัญญาบีทีเอสไม่ควรต่อสัญญา และมีความเห็นส่วนตัวของกรรมาธิการฯ ซึ่งที่ผ่านมารายงานของกรรมาธิการฯ ไม่เคยมีเขียนแบบดังกล่าว ผมขอฝากรรมาธิการฯ ที่ต้องทำงานแทนสภาฯ ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของสภาฯ ให้มาก ไม่ใช่ทำรายงานที่นำไปอ้างอิงใดๆ ไม่ได้ ทั้งนี้ผมขอให้นำรายงานกลับไปทบทวน" นพ.ชลน่าน กล่าว
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายว่า ให้นำรายงานกรรมาธิการฯ ไปทบทวนใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับ และหากกรรมาธิการฯ ไม่ถอนรายงานไปทบทวนและยืนยันให้สภาฯ ลงมติ ขอให้กรรมาธิการฯ รับผิดชอบในผลที่จะเกิดจากการพิจารณาคดีทางด่วนในชั้นศาลด้วยตนเอง รวมถีงกรณีที่มีผู้พิสูจน์ต่อกรณีข้อกล่าวหาว่ากรรมาธิการฯ รับผลประโยชน์ด้วย
ขณะที่นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ไม่เคยเห็นการจัดทำรายงานในลักษณะที่กรรมาธิการฯ ลงมติ หรือให้ความเห็นเป็นรายบุคคล ทั้งนี้รายงานที่ถูกต้องตามข้อบังคับต้องแสดงถึงผลการศึกษาจะนำข้อมูลและข้อเท็จจริงนำเสนอ ทั้งนี้ตนขอให้กรรมาธิการฯ นำรายงานไปทบทวนให้ตรงกับรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภาฯ