BITKUB ก้าวขึ้นเบอร์ 1 กระดานเทรดคริปโตในไทยหลัง BX ประกาศยุติให้บริการ เชื่อได้รับอานิสงส์ลูกค้าย้ายเข้ามาใช้บริการพุ่งพรวดเป็นเท่าตัว ประกาศเดินหน้าลุยธุรกิจพร้อมเตรียมแผนขยายบริการครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิทัล และผลักดันบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
"เรายืนยันว่าเราไม่ปิดให้บริการแน่นอน เพราะเรามีความตั้งใจอยากพัฒนาธุรกิจสร้างการเติบโตในอนาคต แม้ว่าต้องลงทุนหลายๆด้าน เช่น การให้บริการผ่านแอพพลิเคชั่น เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้สะดวกสบายมากที่สุด"
*Bitkub รับอานิสงส์ BX ปิดตัว ขึ้นเบอร์หนึ่งเว็บเทรดคริปโตในไทย
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 2 ก.ย.สร้างความตื่นหนกให้บรรดานักเทรดคริปโตภายหลังเว็บไซต์ Bx.in.th ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลคริปโตอันดับหนึ่งในไทยประกาศปิดตัว กำหนดให้ลูกค้าซื้อขายวันสุดท้าย 30 ก.ย.นี้ เป็นเหตุให้ช่วงเช้าของวันดังกล่าวราคาบิตคอยน์ที่ซื้อขายในกระดานของ Bx.in.th ร่วงลงราว 100,000 บาท จากที่เคยทรงตัวในระดับ 300,000 บาท สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนท่ามกลางความสับมสน และยังเกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคตกระดานเทรด Cryptocurrency เจ้าอื่นจากภาวะการแข่งขันที่อาจรุนแรงมากขึ้นในอนาคต และที่สำคัญคือนักลงทุนจะมีความปลอดภัยในมิติใดบ้าง
นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บิทคับ แคปปิตอลกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า จากสถานการณ์ประกาศยุติให้บริการของเว็บไซต์ Bx.in.th อยากให้นักลงทุนเข้าใจว่าสามารถโอนสินทรัพย์ดิจิทัลมาไว้ใน Bitkub ได้เพราะเป็นหนึ่งในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทศูนย์ซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่และโทเคนดิจิทัลจากกระทรวงการคลัง และได้รับอนุมัติโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ล่าสุดมีผู้ลงทุนโอนย้ายเข้ามาใช้บริการเปิดบัญชีกับ Bitkub เฉลี่ยวันละ 25,000 บัญชี ส่งผลให้ Bitkub ก้าวขึ้นมาเป็นเว็บไซต์เทรดคริปโตที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับหนึ่งในไทย และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีจำนวนผู้ลงทุนมาเปิดบัญชีกับ Bitkub ไม่ต่ำกว่า 200,000 บัญชี เติบโตขึ้นเป็นเท่าตัวจากปัจจุบันอยู่ที่ราว 100,000 บัญชี และเติบโตเร็วกว่าเป้าเดิมที่คาดว่าจะไปถึง 200,000 บัญชีในช่วงสิ้นปี 63
"อยากให้นักลงทุนมองว่าการปิดตัวของ BX ไม่แตกต่างกับกรณีร้านทองปิดกิจการเท่านั้น เราก็สามารถนำทองคำไปซื้อขายในร้านใหม่ได้ เช่นเดียวกับบิตคอยน์ที่นักลงทุนขายกันมาหนักในกระดาน BX ซึ่งมองว่าบิตคอยน์ในไทยมีไซด์เล็กมาก ไม่มีผลต่อราคาบิตคอยน์โลก สะท้อนจากราคาลงไปแต่กลับมาซื้อขายในราคาตลาดโลกเหมือนเดิม นอกจากนี้ ปัจจุบันปริมาณการซื้อขายของบิตคอยน์เพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดตั้งแต่เกิดบิตคอยน์มา มีอัตราการเติบโตขึ้นทุกๆปี"
*วางเป้าเข้าตลาดหุ้นใน 1-2 ปี,เล็งขอใบอนุญาตICO portal-บริหารกองทุน Digital Asset
นายจิรายุส กล่าวอีกว่า ในช่วง 1-2 ปีนี้ BITKUB มีเป้าหมายนำบริษัทโฮลดิ้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะอยากให้ทุกคนสามารถเข้ามาร่วมเป็นเจ้าของได้ โดยจะเป็นบริษัทที่แปรสภาพองค์กร หรือ Demutualization นอกจากนี้ มีความพยายามก้าวขึ้นเป็น Ecosystem เพื่อเป็นบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Blockchain ใหญ่ที่สุดในไทย
ปัจจุบัน บริษัทแรกประกอบธุรกิจ Bitkub.com เป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ,บริษัทสองคือ Bitkup Blockchain technology ที่จะประกอบธุรกิจให้คำปรึกษาลูกค้าเป็นเอกชนและรัฐบาลที่ต้องการนำระบบ Blockchain มาใช้พัฒนาธุรกิจดังเดิมเพิ่มศักยภาพมากขึ้น
บริษัทสาม อยู่ระหว่างยื่นขอใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.เพื่อทำ ICO portal เป็นลักษณะคล้ายกับธุรกิจวาณิชธนกิจ 2.0 ช่วยระดมทุนในฝั่งของ Digital asset และเตรียมตั้งบริษัทที่สี่เพื่อประกอบธุรกิจ Blockchain Academy เพื่อให้ความรู้และตั้งเป็น Blockchain center ขึ้นมา
นอกจากนั้น ล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมขอยื่นใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ในการสร้างกองทุนรวมที่ลงทุนใน Digital Asset เพื่อให้ผู้ที่ต้องการลงทุนใน Digital Asset แต่ไม่มีเวลา หรือไม่มีความรู้เพียงพอ ก็สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมของเราได้
"บริษัทเดินหน้าพัฒนาในทุกๆมิติ ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บริการลูกค้า คุณภาพ และทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยพัฒนาให้บริษัทเติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคงในอนาคต"นายจิรายุส กล่าว
*ส่องธุรกิจคริปโต ส่อแววแข่งขันดุเดือด,เตือนระวังความเสี่ยงเทรดคริปโตเว็บไซด์ต่างประเทศ
นายจิรายุส กล่าวว่า มุมมองการแข่งขันในธุรกิจเกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เชื่อว่าในอนาคตจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะเป็นลักษณะคล้ายกับธุรกิจ E-Commerce เช่น ลาซาด้า ,Shopee ที่ต้องใช้เงินลงทุนเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการให้ได้เป็นจำนวนมาก เป็นรูปแบบ Marketplace แต่ผู้ประกอบการที่จะสามารถอยู่รอดได้ต้องเป็น "Early adopter" จะมีความได้เปรียบ แต่ต้องยอมรับว่าในยุค Internet Century บริษัทที่จะดำเนินธุรกิจให้อยู่รอดได้ จำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์ที่ดีจริงๆ
ในกรณีที่ผู้ลงทุนหันไปใช้บริการกระดานเทรดคริปโตของต่างประเทศ มองว่าเป็นสิ่งที่อันตรายมากกว่า เพราะจะไม่มีการแจ้งล่วงหน้าให้กับผู้ลงทุนทราบว่าจะปิดตัวอาจทำให้เกิดความเสียหายได้ ซึ่งมีความแตกต่างจากของไทยที่มีรายงานล่วงหน้าก่อน 1 เดือนเหมือนกับในกรณีของบริษัท บิทคอยน์ จำกัดในครั้งนี้
"ผมอยากแนะนำให้เทรดกับเว็บไซด์ที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.เท่านั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้น หรือปิดหนีไปเลย ไม่มีใครช่วยคุณได้ เช่นเดียวกับเว็ปไซด์อื่นที่ผิดกฎหมายในไทย ผมก็ไม่แนะนำอยู่ดี"
*แนะรัฐทบทวนกฎหมายภาษี หวั่นเป็นอุปสรรคคริปโตในไทย
นายจิรายุส กล่าวว่า การที่ทางการเข้ามากำกับดูแลวงการคริปโต มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยปกป้องนักลงทุนคัดกรองบริษัทที่ไม่ดีและไม่มีศักยภาพออกจากวงการนี้ไป แต่ก็มีข้อเสียเช่นกันคือ Startup ต้นทุนต่ำก็ไม่สามารถเข้ามาแข่งขันในวงการนี้ได้ เนื่องจากมีต้นทุนด้านบริหารจัดการค่อนข้างสูง แต่เชื่อว่าในอนาคตก็คงต้องปรับเปลี่ยนกฎหมายแน่นอน เพราะช่วงนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นวงการนี้ต้องเรียนรู้ทุกวันต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ
"กฎหมายอยากให้ปรับเปลี่ยนคือเรื่องภาษี ถ้าทุกคนเข้าใจว่าคริปโตคืออะไร ช่วยให้ค่าโอนเงินต่ำลง หรือไม่เสียเงิน แต่สรรพากรกลับมาเพิ่มต้นทุน 15% ทำให้คนหันไปใช้การโอนเงินจากธนาคารเหมือนเดิมเสียค่าธรรมเนียม 5% ขณะที่กฎหมายด้านอื่นๆต้องพัฒนาต่อไป หลักเกณฑ์ต่างๆต้องให้มีมาตรฐานเหมือนๆกัน ซึ่งอาจตั้งสมาคมขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างเอกชนและภาครัฐเพื่อให้เกิดความสมดุลในจุดที่เหมาะสมมากที่สุด โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือต้องพัฒนาไปข้างหน้า"
อนึ่ง ปัจจุบันรัฐบาลประกาศเก็บภาษีเงินได้จากเงินคริปโตและโทเคน โดยใจความสำคัญคือการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% และต้องนำรายได้รวมไปคำนวณภาษีในหมวด 40(4) ที่ประกาศเพิ่มสองหมวดย่อย คือ (ซ) สำหรับกำไรเป็นเงินจากเงินคริปโตและโทเคน และ (ฌ) สำหรับผลประโยชน์อื่นที่ตีราคาเป็นเงินได้ และมีกำไร
https://youtu.be/VcJBOUQG8IY