นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง กล่าวในงานสัมมนา "การเพิ่มความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ในการจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะ" ว่า กระทรวงการคลังมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างผ่านหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมบัญชีกลาง ซึ่งได้มีการกำหนดมาตรการและวิธีใช้จ่ายงบประมาณของประเทศให้มีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ปัจจุบันการใช้จ่ายของภาครัฐมีวงเงินสูงถึง 15% ของจีดีพีโดยรวมของประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงทุนในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ซึ่งวันนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การปฏิรูปประเทศ ต้องการการลงทุนในหลายด้านเพื่อการดูแลประชาชนได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง โดยสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
"รัฐบาลมีเป้าหมายในการลงทุน 15-20% ต่อปี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องทำ และทำอย่างมีระบบ และทำโดยไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะหากเกิดขึ้นแล้ว ผลกระทบจะมีต่อประสิทธิภาพของภาครัฐ และภาคเอกชน ถ้าเราต้องการปรับเปลี่ยนปฎิรูปประเทศ หากเรายอมให้การทุจริตคอร์รัปชั่นมาขัดขวาง เราก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนประเทศไทยในครั้งนี้ และแน่นอนว่าความเสียหายก็จะเกิดกับประชาชน" นายอุตตม กล่าว
ดังนั้น รัฐบาลจึงมุ่งเน้นในการสร้างความโปร่งใส ซื่อสัตย์ ยกระดับคุณธรรม จริยธรรมในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้พัฒนาระบบจัดซื้อจัดจ้างในภาครัฐหลายด้าน ทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบ สร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน และที่สำคัญคือการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างให้มากขึ้น ยกระดับจากระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีขึ้นมาเป็น พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ซึ่งมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมาช่วยในการจัดซื้อจัดจ้าง เช่น การนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการปรับปรุงการยื่นขอ, คืน, ยึด, ขยายเวลาหนังสือค้ำประกันสำหรับการจัดซื้อจัดจ้าง และเชื่อมโยงเข้ากับระบบของธนาคารพาณิชย์ทั้ง 25 แห่งของประเทศโดยตรง ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นหนังสือค้ำประกันต่อหน่วยงานภาครัฐที่เป็นเจ้าของโครงการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ทันที รวมถึงการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ออกหนังสือรับรองวงเงินสินเชื่อแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผู้ประกอบการที่มาขึ้นทะเบียน ที่คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ได้ภายในอีก 1-2 เดือนจากนี้ ตลอดจนการนำ AI มาใช้ในการตอบคำถามที่ไม่ซับซ้อนมากนัก หรือที่เรียกว่า "แชทบอท" ในเรื่องการเสนอราคา และขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างต่างๆ ของภาครัฐ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้เกิดความโปร่งใสและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องวันหยุดราชการ โดยในส่วนนี้คาดว่าจะใช้เวลาอีก 8-9 เดือนที่จะทำให้ระบบมีความสมบูรณ์
"รัฐบาลประกาศเป็นนโยบายแล้ว ว่าจะนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนสู่ e-Government กระทรวงการคลังเรามีข้อมูลมหาศาล ทำงานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างเป็นประจำ การที่จะปรับเปลี่ยนกระทรวงไปสู่ e-Government ในส่วนของกระทรวงการคลังนี้ เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ให้นโยบายผู้บริหารกระทรวงไปแล้ว Blockchain จะเป็นเสมือนกระดูกสันหลังของการ Transform กระทรวงการคลัง ซึ่งวันนี้ได้เริ่มแล้ว Blockchain จะเชื่อมกรมบัญชีกลางกับกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และเชื่อมต่อกับภาคธุรกิจ ภาคประชาชน รวมถึงเชื่อมโยงกับต่างประเทศด้วย" นายอุตตม ระบุ
รมว.คลัง กล่าวว่า เรื่องของความโปร่งใสและความซื่อสัตย์เป็นหัวใจของการป้องปรามและปราบปรามการกระทำทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นปัญหาสำคัญของหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบและหลายระดับ สำหรับรัฐบาลไทยนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมที่ปลอดจากการทุจริตคอร์รัปชั่น และเห็นว่าต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
พร้อมระบุว่า การร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่เกื้อหนุนต่อการต่อต้านการกระทำอันทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
"การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นให้ประสบความสำเร็จได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม ยึดโยงกันเป็นพลังต่อต้านทุจริต เพื่อสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้น สร้างและรักษาประโยชน์ให้กับคนไทยอย่างยั่งยืน" นายอุตตม กล่าว