นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้เข้าร่วมการประชุมคณะ อนุกรรมการความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียนด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Intersessional SC-AROO) กับประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ เมื่อปลายเดือนส.ค.62 ที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยในการประชุมครั้งนี้ อาเซียนได้ตกลงให้มีการจัดทำเว็บไซต์การรับรองถิ่นกำเนิดด้วยตนเองของอาเซียน (AWSC) เพื่อรองรับบทบัญญัติการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมในระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Operational Certification Procedure) ของความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ASEAN Trade In Goods Agreement) โดยคาดว่ามีผลใช้บังคับในวันที่ 31 มีนาคม 2563 ซึ่งการจัดทำเว็บไซต์นี้ จะทำให้ผู้ประกอบการในอาเซียนได้รับความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การจัดทำเว็บไซต์ดังกล่าว เป็นการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ประกอบการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Certified Exporter: CE) กับประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ เมื่อผู้ประกอบการได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Certified Exporter: CE) กรมฯ จะส่งข้อมูลผู้ขึ้นทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) ซึ่งจะเชื่อมโยงข้อมูลไปยังศุลกากรประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 9 ประเทศทันที ทำให้ผู้นำเข้าสามารถทำพิธีการศุลกากรในการนำเข้าสินค้าได้ตลอดเวลา โดยศุลกากรประเทศผู้นำเข้าสามารถค้นหารหัสประจำตัวหรือชื่อผู้ส่งออกในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ เว็บไซต์ดังกล่าวจะมีระบบแจ้งเตือนให้ทราบว่าอายุการขึ้นทะเบียนของ CE ใกล้หมด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ส่งออกที่เป็น CE ต่ออายุทะเบียนและใช้สิทธิการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่อง โดยเว็บไซต์จะมีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ส่งออกในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันมีผู้ส่งออกไทยที่ได้ขึ้นทะเบียนในโครงการนำร่องที่ 1 จำนวน 211 ราย และโครงการนำร่องที่ 2 จำนวน 124 ราย รวมทั้งสิ้น 335 ราย มีมูลค่าการส่งออกโดยใช้สิทธิในการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองตั้งแต่ปี 2559- 2562 (ม.ค.-มิ.ย.) มูลค่าเท่ากับ 963 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 1,550 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 2,615 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ 1,056 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ
ทั้งนี้ กรมฯ อยู่ระหว่างการประชาสัมพันธ์การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองในรูปแบบ AWSC ให้ผู้ประกอบการได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมก่อน AWSC มีผลบังคับใช้ต่อไป