นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการมอบนโยบายให้กับกองทุนหมู่บ้านว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังไม่ดี ต้องการให้ทุกฝ่ายหันกลับมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดความเข้มแข็ง ซึ่งไม่ได้เน้นเฉพาะการดูแลภาคเกษตร แต่จะต้องทำให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง สร้างตลาด และเชื่อมโยงการท่องเที่ยว โดยจะมีทุกองค์กรของรัฐทำงานร่วมกับภาคเอกชนที่จะให้การสนับสนุนเต็มที่ ภายใต้หลักการของพลังประชารัฐมาขับเคลื่อน
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขับเคลื่อนครั้งนี้จะต้องดำเนินการให้ครบวงจร และเร่งดำเนินการทั้งเรื่องของธนาคารชุมชน หรือให้ธนาคารออมสิน เตรียมออกมาตรการใหม่ๆ ที่ช่วยพ่อค้า หาบเร่แผงลอยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้สะดวกยิ่งขึ้น
ด้านนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมออกมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยจะเน้นกลุ่มคนฐานราก เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนพ่อค้าแม่ค้า รวมแล้วกว่า 10 ล้านคน โดยเน้นการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันของทุกหน่วยงานภาครัฐ ทั้งธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กองทุนหมู่บ้าน และกรมธนารักษ์ โดยจะมีการจัดทำโครงการใหม่ๆ เน้นความต่อเนื่อง และไม่ใช่มาตรการเยียวยาระยะสั้น ซึ่งจะมีการเสนอมาตรการทั้งหมดในการประชุมร่วมกันวันที่ 21 ก.ย.นี้
รมว.คลัง กล่าวต่อว่า การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากจะเน้นลักษณะการรวมกลุ่มช่วยเหลือและพัฒนาควบคู่ไป เช่น การยกระดับการเกษตร นอกเหนือจากการทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น แต่จะเข้าช่วยเหลือตั้งแต่ต้นทาง ทั้งกระบวนการผลิต ปรับปรุงผลิตภาพ การสร้างสินค้าใหม่ ผ่านการแปรรูป รวมถึงการทำตลาด และเชื่อมโยงไปกับส่งเสริมการท่องเที่ยวในแหล่งชุมชม
ทั้งนี้ ในส่วนของกรมธนารักษ์ ได้เข้ามามีส่วนช่วยในการจัดหาพื้นที่ตลาดให้กับชุมชน ส่วนธนาคารออมสิน ได้เข้ามาช่วยดูแลกลุ่มพ่อค้า แม่ค้า ให้คำแนะนำในการทำการตลาดของร้านค้าชุมชน รวมถึงการให้สินเชื่อที่เหมาะสม
ด้านนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในเรื่องของธนาคารชุมชนนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งจากข้อมูลมีกองทุนหมู่บ้านประมาณ 7.6 หมื่นหมู่บ้าน โดยจะเริ่มจากที่กองทุนหมู่บ้านเกรด A ที่มีอยู่ประมาณ 2 หมื่นหมู่บ้าน ซึ่งจะให้ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส.เป็นพี่เลี้ยง