"เมื่อได้ประกาศใช้แล้ว กฎหมายนี้จะเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้ส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐเกิดการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยน และบูรณาการข้อมูลระหว่างกัน เพื่อให้เกิดการบริหารงานภาครัฐที่เชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง" นายกอบศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ เมื่อภาครัฐเชื่อมโยงข้อมูลเป็นระบบเดียวกันอย่างบูรณาการแล้ว ประชาชนก็สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวในการมีส่วนร่วมกับภาครัฐเพื่อพัฒนาประเทศ ตลอดจนสามารถนำข้อมูลที่ภาครัฐสามารถเปิดเผยได้ไปใช้ประโยชน์ในการต่อยอดพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ได้ต่อไป หรือแม้แต่สามารถใช้ข้อมูลเพื่อตรวจสอบติดตามการทำงานของภาครัฐด้วยเช่นกัน
"นี่จะเป็นทางเดินแห่งอนาคต ที่เรากำลังมุ่งไปพร้อม ๆ กันทั้งประเทศ เพื่อให้การปฏิรูประบบงานภาครัฐครั้งใหม่นี้ สามารถขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ" นายกอบศักดิ์กล่าว
สำหรับการสนับสนุนแนวทางดังกล่าว ได้ทำการยกระดับทักษะบุคลากรภาครัฐให้ตระหนักถึงความสำคัญ และอำนวยการความสะดวกให้การดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อปฏิรูประบบการบริหารงานภาครัฐ การทำให้บริการภาครัฐอยู่บนดิจิทัลทั้งหมด จะต้องทำให้ระบบที่มีอยู่เชื่อมต่อกัน เพื่อต่อยอดไปสู่การสร้างบริการแบบครบวงจรและเบ็ดเสร็จ
ด้านนางไอรดา เหลืองวิไล รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารงานภาครัฐและการบริการสาธารณะ มุ่งหวังเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนเป็นหลัก ยิ่งเมื่อมีกฎหมายรัฐบาลดิจิทัล ภาพทุกอย่างจะชัดขึ้น ทั้งในด้านการนำระบบดิจิทัลมาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเหมาะสม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชนให้สะดวก รวดเร็ว และง่ายขึ้น ช่วยลดภาระทางด้านเวลา ค่าใช้จ่าย การจัดเตรียมเอกสารของประชาชนเมื่อต้องมาติดต่อราชการ อย่างเช่น โครงการยกเลิกสำเนา เป็นต้น
อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความโปร่งใส ลดปัญหาการทุจริต มีการเปิดเผยข้อมูลราชการเป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยไม่กระทบความมั่นคงของรัฐและความเป็นอยู่ส่วนบุคคล และที่สำคัญ ทำให้เกิดการยกระดับทักษะความรู้ของบุคลากรภาครัฐ รองรับการดำเนินงานรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งเป็นพลังที่สำคัญยิ่งที่จะช่วยให้เกิดภาพเดียวกันทั้งประเทศ