MTS รุกตลาดทองคำจีน ดันยอดขายปีนี้โต 30% ยอดเทรดดิ้งเพิ่มเท่าตัว เตรียมเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดจีนปีหน้า

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 20, 2019 13:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประธานฝ่ายบริหาร บริษัท MTS GOLD GROUP เปิดเผยว่า บริษัทได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Gold Exchange:SGE) โดยการได้รับสิทธิในการเข้าถึงและซื้อขายสินค้ากับตลาด SGE และมีใบอนุญาต (License) อย่างถูกต้องทั้งในสินค้าประเภท Physical และ Trading ร่วมกับสมาชิกกว่า 110 ประเทศทั่วโลก ถือว่าบริษัทได้เข้าร่วมเหตุการณ์สำคัญนโยบาย One Belt One Road กับทางการจีน หรือเป็นการเชื่อมตลาดทองไทยสู้เส้นทางสายไหมทองคำ

ทั้งนี้ คาดว่าการขยายธุรกิจครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีรายได้จากปริมาณการซื้อขายทองคำเพิ่มขึ้น 30% และยอดขายทองคำ Physical เพิ่มขึ้น 30% เป็น 4 แสนล้านบาท จาก 3 แสนล้านบาทในปีก่อน เนื่องจากความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น รวมทั้งยอดเทรดดิ้งในตลาดล่วงหน้า เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว คิดเป็นทองคำ 100 ตัน/เดือน จากปกติซื้อขาย 50-60 ตัน/เดือน

การเข้าตลาดทองคำจีนได้ทำให้สามารถเชื่อมการขายทั้งตลาดจีนและสหรัฐอเมริกา ในตลาด COMEX ทำให้การขยายธุรกิจให้ครอบคลุมตลาดค้าทองคำมากขึ้นในปีนี้ โดยปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับสิทธิในการเป็นโบรกเกอร์ทองคำรายแรกของไทยในการเข้าถึงตลาดทองคำ COMEX และคาดว่าในช่วง 2-3 ปีข้างหน้ายอดเทรดทองคำ จะขยายตัวได้ปีละ 30%

"วันนี้เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เป็นผู้เชื่อมตลาดทองคำระหว่างจีนและไทย และอเมริกา และแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์ เรื่อง Trade War เพราะส่งสินค้ากันไม่ได้"นายณัฐพงศ์ กล่าว

นอกจากนี้ MTS ได้ยื่นขอใบอนุญาตเทรดดิ้งสินค้าโภคภัณฑ์ ในตลาดเซี่ยงไฮ้ โดยอยู่ระหว่างการอนุมัติของก.ล.ต.จีน ซึ่งบริษัทคาดว่าในปีหน้าจะได้รับอนุมัติ โดยคาดจะเริ่มที่สินค้ายางพาราก่อน ขณะที่ยังมีสินค้ามันสำปะหลัง และน้ำมันปาล์ม ที่รอเข้าเทรดในอนาคต

MTS เป็นผู้เล่นติด TOP 3 ในไทย หรือมีส่วนแบ่งตลาด 30% ของตลาดในไทย และ TOP 5 ในอาเซียน โดยบริษัท ได้ขยายตลาดไปที่สิงคโปร์ ฮ่องกง ขณะที่ตลาดทองคำโลก ตลาดซื้อขายใหญ่สุด ได้แก่ จีน อินเดีย และไทย โดยในปี 61 มีมูลค่าซื้อขาย 1,040 ตัน, 760 ตัน และ 80 ตัน ตามลำดับ

นายณัฐพงศ์ กล่าวว่าแนวโน้มราคาทองคำ ระยะสั้นแกว่งตัว sideway ช่วงระดับราคา 1,480 - 1,510 เหรียญ/ออนซ์ คิดเป็นราคาทองในประเทศ 21,300 -22,000 บาท แต่คาดว่าราคาทองคำในปีนี้จะเป็นขาขึ้น ให้ช่วงราคา 1,550-1,600 เหรียญ/ออนซ์ หรือ 23,000 บาท บวกลบ หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง และสถานการณ์สงครามการค้า ไม่จบ แต่หากเฟดไม่ปรับลดดอกเบี้ย และเหตุการณ์สงครามการค้าจบลงก็เป็นปัจจัยลบต่อทองคำ

นอกจากนี้ มองว่าในช่วงครึ่งหลังปีนี้ จะมีข่าวลบเข้ามามากกว่า ส่งผลดีต่อราคาทองคำ และในช่วงนี้มีแนวโน้มจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยเฉพาะในยุโรป และยังมีเรื่องอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป แบบไม่มีข้อตกลง (Brexit No deal ) ก็ส่งผลดีต่อทองคำ มีโอกาสราคาขึ้นแตะราคาที่เคยทำจุดสูงสุดที่ 1,900 เหรียญ/ออนซ์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ