นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วย ผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทในระยะนี้เป็นในทิศทางเดียวกับภูมิภาค ไม่ได้แข็งค่าขึ้นเพียงสกุลเดียว อีกทั้ง ค่าเงินของประเทศฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นยังแข็งค่ามากกว่าเงินบาทของไทย
พร้อมระบุว่า การพิจารณาค่าเงินบาทต้องดูจากดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง(REER) ซึ่งขณะนี้ธปท.ยังดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด
"แม้บาทจะแข็ง แต่ภูมิภาคก็แข็งด้วย เราจะไม่เสียเปรียบ ดังนั้นอย่าดูเทียบดอลลาร์เพียงอย่างเดียว และธปท.ยังดูแลตลาดเงินอยู่"นางสุชาดา กล่าว
ขณะนี้ผู้ส่งออกยังคงขายดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการคาดการณ์ว่าทางการจะยกเลิกมาตรการสำรอง 30% ทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องกับค่าเงินบาท จะต้องป้องกันความเสี่ยงอยู่เรื่อยๆ
"เรื่องมาตรการกสำรอง 30% เป็นจิตวิทยา คนตกใจก็เร่งเทขาย...ธปท.และคลังได้มีข้อตกลงร่วมกันจะไม่ให้ข่าวเรื่องมาตรการสำรอง 30%แล้ว" นางสุชาดา ระบุ
ส่วนการที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ลงเหลือ 1.3-2%จากเดิมคาดไว้ 1.8-2.5% เป็นเรื่องที่อยู่ในประมาณการ ธปท.แล้ว แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างฉุกเฉินของเฟดช่วงเดือน ม.ค.ถึง 0.75% ในคราวเดียว และอีกครั้ง 0.50% เมื่อ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมาย แต่จะมีผลต่อเงินทุนไหลเข้าหรือไม่นั้น นางสุชาดา กล่าวว่า เรื่องเงินทุนไหลเข้าและปัญหาซับไพร์มยังเป็นปัญหาอยู่ แต่เรื่องเหล่านี้ได้มีการคาดการณ์ไว้แล้ว
สำหรับการกระชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้น 27 ก.พ.นี้ จะนำประเด็นเรื่องราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลก รวมทั้งเศรษฐกิจไทยมาพิจารณาด้วยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ก่อนจะพิจารณากำหนดดอกเบี้ยนโยบาย
--อินโฟเควสท์ โดย ธปฦ/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--