นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กถึงมาตรการ"ชิมช้อปใช้"ว่า ล่าสุด นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาแนวทางการขยายมาตรการ"ชิมช้อปใช้"ออกไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี และช่วยกระตุ้นเศรษบกิจเพิ่มมากขึ้นอีก
โดยอาจจะมีการกำหนดเงื่อนไขและรูปแบบของมาตรการให้ง่ายต่อการเข้าถึงของประชาชนมากขึ้น ซึ่จะต้องมีการศึกษาและนำเอาผลการดำเนินงานของมาตรการในระยะแรกมาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย เพื่อให้ใช้ได้ทุกจังหวัด พร้อมสนับสนุนร้านค้าชุมชน วิสาหกิจชุมชน และการท่องเที่ยวในเมืองรอง เข้าโครงการเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มาตรการในระยะแรกนี้ ยังคงเปิดใช้จนถึงวันที่ 30 พ.ย.62 โดยประชาชนที่ลงทะเบียน หากเงิน 1,000 บาท ในแอพฯ "เป๋าตัง" หมดแล้ว ยังสามารถเติมเงินในกระเป๋า 2 หรือ G-Wallet เพื่อใช้สิทธิ์ รับเงินคืน (Cash Back) 15% ของยอดเงินที่เติมและใช้จ่ายในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการผ่านแอพฯ ได้อีก เช่น เติมเงินจ่ายสินค้าและบริการ 1,000 บาท จะได้รับเงินคืน 150 บาท เป็นต้น โดยสามารถรับเงินคืนสูงสุด 4,500 บาท หรือจากยอดใช้จ่าย 30,000 บาท
นายอุตตม ระบุถึงมาตรการ"ชิมช้อปใช้" ใน 3 วันแรก (27-29 ก.ย.62) พบว่า มีผู้ใช้สิทธิ์แล้ว 370,523 คน มียอดการใช้จ่าย 294 ล้านบาท และกว่า 50% ของการใช้จ่าย หรือประมาณ 148 ล้านบาท เป็นการใช้จ่ายในร้าน"ช็อป" ซึ่งอยู่ในกลุ่มร้านค้าชุมชน โอท็อป ร้านวิสาหกิชุมชน และร้านธงฟ้าประชารัฐ
รองลงมาเป็นคือร้าน"ชิม" หรือร้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่มียอดใช้จ่ายประมาณ 60 ล้านบาท และร้าน"ใช้" เช่นโรงแรม โฮมสเตย์ มียอดใช้จ่ายประมาณ 7 ล้านบาท ด้านร้านค้าทั่วไปซึ่งรวมถึงรายใหญ่ มียอดใช้จ่ายราว 79 ล้านบาท ถือว่าน้ยอกว่าการใช้จ่าย 2 รายการแรกมาก ทั้งนี้เป้าหมายโครงการนี้คือการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และเน้นไปที่เศรษฐกิจฐานราก ที่จะเกิดประโยชน์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
"ทุกท่านคงเห็นแล้วใช่ไหมครับว่าการกระตุ้นการบริโภคก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนอย่างไร และที่สำคัญโครงการแบบนี้ส่งผลด้านจิตวิทยา เกิดความคึกคักในการจับจ่ายใช้สอย ผมเชื่อว่าเงิน 1,000 บาทต่อคนที่ได้รับไป จะมีจำนวนไม่น้อยที่จ่ายเพิ่มเติมอีกมาก เม็ดเงินจะสะพัดเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว" รมว.คลัง ระบุ