นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่มีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบปรับลดกรอบวงเงินกองทุนฯ ระยะ 5 ปี (63-67) เหลือ 50,000 ล้านบาท แบ่งการใช้จ่ายเป็นปีละ 10,000 ล้านบาท จากกรอบเดิมกำหนดไว้ในช่วงปี 60-64 ที่ 60,000 ล้านบาท หรือแบ่งการใช้เป็นปีละ 12,000 ล้านบาท โดยจะเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ (กพช.) สิ้นเดือน ต.ค.นี้
รมว.พลังงาน กล่าวว่า หาก กพช.เห็นชอบได้เร็วก็สามารถเปิดรับข้อเสนอโครงการในส่วนของกองทุนฯประจำปี 2563 ได้ประมาณเดือน ธ.ค. 62 นี้ หลังจากล่าช้ามาจากเดือน ต.ค. 62 ที่ผ่านมา เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการกองทุนฯ
ส่วนสาเหตุการปรับลดกรอบเงินกองทุนฯลง รมว.พลังงาน กล่าวว่า เนื่องจากการเก็บเงินจากผู้ใช้น้ำมันได้น้อยลง เพราะตั้งแต่ปี 61-63 รัฐบาลปรับลดการเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันเพื่อส่งเข้ากองทุนฯลดลงจาก 25 สตางค์/ลิตร เหลือ 10 สตางค์/ลิตร ทำให้คาดการณ์ว่าหากตั้งกรอบการใช้เงินไว้เท่าเดิมที่ 60,000 ล้านบาท จะทำให้กองทุนฯติดลบได้ จึงต้องปรับลดลง
นอกจากนี้ ยังมีการปรับหลักเกณฑ์กองทุนฯ ใหม่ โดยลดสัดส่วนเงินโครงการที่เกี่ยวกับแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานลงจาก 67% เหลือ 50% และไปเพิ่มวงเงินสำหรับโครงการที่เกี่ยวกับแผนพลังงานทดแทนจากเดิม 30% เป็น 47% ส่วนสัดส่วนวงเงินด้านแผนบริหารจัดการกองทุนฯ อยู่เท่าเดิม 3%
นอกจากนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน 4 คณะ เพื่อช่วยคณะกรรมการกองทุนฯ ได้แก่ คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งมีรมว.พลังงานเป็นประธาน, คณะอนุกรรมการกลั่นกรองงบประมาณของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน, คณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และ คณะอนุกรรมการบริหารสำนักงานบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ที่ผ่านมาคณะกรรมการชุดที่ 2-3 ได้ถูกยกเลิกไป ดังนั้นจึงต้องจัดตั้งกลับคืนมา เพื่อให้การดำเนินโครงการไม่สะดุดระหว่างทาง และการดำเนินงานเกิดความโปร่งใสมากขึ้น ส่วนคณะกรรมการชุดที่ 3-4 อยู่ระหว่างการจัดตั้งประธาน
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน รมว.พลังงาน กล่าวว่า สามารถนำเงินกองทุนฯมาใช้ได้ เนื่องจากจัดอยู่ในประเภทการส่งเสริมพลังงานทดแทน นอกจากนี้คาดว่าช่วง 5 ปีนี้กองทุนฯยังไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านการใช้รถยนต์ฟอสซิลเป็นรถยนต์ไฟฟ้า(EV) แต่หากรถ EV เติบโตอย่างรวดเร็วก่อน 5 ปี ทางคณะกรรมการกองทุนฯอาจพิจารณาปรับวงเงินกองทุนฯใหม่ได้ หรืออาจเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้รถ EV เพื่อส่งเข้ากองทุนฯแทนรถใช้น้ำมันที่ลดน้อยลงได้